ฟันเหลือง แก้ยังไง คัดสรรวิธี ที่ทำให้ฟันขาวขึ้นอย่างเห็นผล และปลอดภัย

ฟันเหลือง แก้ยังไง 

ประเด็นสำคัญ

  • ฟันเหลือง มักเกิดจากคราบสี พฤติกรรม หรือการเปลี่ยนแปลงตามธรรมชาติ
  • มีทางเลือกในการฟอกสีฟันที่ปลอดภัย ทั้งแบบทำเองที่บ้าน และที่คลินิกทันตกรรม
  • การดูแลสุขภาพช่องปากที่ดี ช่วยรักษาความขาวสว่างของฟันได้ ในระยะยาว

ปัญหาฟันเหลือง เป็นเรื่องที่หลายคนกังวล และอาจทำให้รอยยิ้มดูสดใสน้อยกว่าที่ควรจะเป็น คราบสีบนฟัน มักเกิดจากอาหาร เครื่องดื่ม การสูบบุหรี่ หรือการเปลี่ยนแปลงตามธรรมชาติ เมื่อเวลาผ่านไป วิธีแก้ไขปัญหาฟันเหลืองที่มีประสิทธิภาพที่สุด คือ การดูแลสุขภาพช่องปากอย่างสม่ำเสมอ การใช้วิธีฟอกสีฟันที่ปลอดภัย และการเข้ารับการรักษาโดยผู้เชี่ยวชาญ เมื่อจำเป็น

ผู้ที่เผชิญกับปัญหาสีฟัน ที่เปลี่ยนไปนั้น มีทางเลือกหลากหลาย ตั้งแต่วิธีง่ายๆ ที่ทำได้เองที่บ้าน ไปจนถึงกระบวนการที่ทันตแพทย์แนะนำ การใช้เบกกิ้งโซดา, ไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ (Hydrogen Peroxide) และยาสีฟัน เพื่อฟันขาว อาจช่วยจัดการกับคราบที่ไม่เข้มมากได้ ในขณะที่การฟอกสีฟันที่คลินิก สามารถให้ผลลัพธ์ที่รวดเร็วกว่า สำหรับคราบสีที่สะสมลึก

การป้องกันไม่ให้ฟันเหลือง มีความสำคัญไม่แพ้กับการรักษา การแปรงฟัน และใช้ไหมขัดฟันทุกวัน รวมถึงการจำกัดอาหาร และเครื่องดื่มที่ก่อให้เกิดคราบ จะช่วยให้ฟันดูขาวสว่างได้ยาวนานขึ้น

สารบัญเนื้อหา

1. ทำความเข้าใจเรื่องฟันเหลือง

2. วิธีแก้ปัญหาฟันเหลือง ที่ได้รับการยอมรับ

3. การป้องกัน และการดูแลสุขภาพช่องปาก ในระยะยาว

ทำความเข้าใจเรื่องฟันเหลือง

ฟันเหลือง อาจเป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงตามธรรมชาติของโครงสร้างฟัน พฤติกรรมการใช้ชีวิต หรือปัญหาสุขภาพช่องปาก ปัจจัยต่างๆ เช่น การบางลงของเคลือบฟัน การเผยออกของเนื้อฟัน อาหารที่รับประทาน และพฤติกรรมการดูแลความสะอาด ล้วนมีบทบาทต่อลักษณะของสีฟัน ที่เปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา

สาเหตุทั่วไปของฟันเหลือง

พฤติกรรมในชีวิตประจำวันหลายอย่าง มีส่วนทำให้ฟันเหลือง เครื่องดื่มอย่างกาแฟ ชา และไวน์แดง มีสารสี ที่สามารถทำให้เกิดคราบบนเคลือบฟันได้ การใช้ยาสูบ ไม่ว่าจะด้วยการสูบ หรือเคี้ยว ก็ทำให้เกิดคราบสีที่ติดแน่นเช่นกัน

กรดในอาหารจากผลไม้รสเปรี้ยว และน้ำอัดลม จะกัดกร่อนเคลือบฟัน ทำให้คราบสีต่างๆ ติด และมองเห็นได้ชัดเจนยิ่งขึ้น ยาบางชนิด เช่น ยาปฏิชีวนะกลุ่มเตตราไซคลีน (Tetracycline) สามารถเปลี่ยนสีฟันได้ หากได้รับยาในช่วงที่ฟันกำลังเจริญเติบโต

อายุที่เพิ่มขึ้น เป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญ เมื่อเคลือบฟันสึกกร่อนลงตามธรรมชาติ เนื้อฟัน (Dentin) สีเหลืองที่อยู่ข้างใต้จะปรากฏให้เห็นเด่นชัดขึ้น นอกจากนี้ พันธุกรรมอาจมีผลต่อความหนาของเคลือบฟัน และเฉดสีฟันโดยกำเนิด ทำให้บางคนมีแนวโน้มที่ฟันจะมีสีคล้ำกว่าคนอื่น

เคลือบฟัน (Enamel) และเนื้อฟัน (Dentin)

เคลือบฟัน คือ ชั้นนอกสุด ที่ทำหน้าที่ปกป้องฟัน โดยปกติจะมีสีขาว หรือโปร่งแสงเล็กน้อย ถัดจากชั้นเคลือบฟันเข้าไป คือ ชั้นเนื้อฟัน ซึ่งมีโทนสีเหลืองโดยธรรมชาติ เมื่อเคลือบฟันบางลง เนื้อฟันจะถูกมองเห็นได้ชัดขึ้น ทำให้ฟันดูมีสีเข้ม หรือเหลืองขึ้น

การสึกกร่อนของเคลือบฟัน เกิดได้จากอาหารที่มีฤทธิ์เป็นกรด การแปรงฟันบ่อยครั้ง ด้วยยาสีฟันที่มีผงขัดหยาบ หรือการผลิตน้ำลายที่ลดลง ซึ่งทำให้การปกป้องฟันตามธรรมชาติลดน้อยลง เนื้อฟัน ไม่สามารถทำให้ขาวขึ้นได้ ด้วยการรักษาที่ผิวฟันภายนอก ซึ่งเป็นเหตุผลว่า ทำไมการรักษาสุขภาพเคลือบฟันให้แข็งแรง จึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง

การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างฟัน อันเนื่องมาจากการบาดเจ็บ หรือภาวะที่ผิดปกติระหว่างการเจริญเติบโต ก็ส่งผลต่อลักษณะของเคลือบฟัน และเนื้อฟันได้เช่นกัน ตัวอย่างเช่น ภาวะเคลือบฟันเจริญไม่สมบูรณ์ (Enamel Hypoplasia) ส่งผลให้เคลือบฟันบางกว่าปกติ ทำให้เนื้อฟันสีเหลืองเด่นชัดขึ้น ตั้งแต่อายุยังน้อย

บทบาทของสุขอนามัยช่องปากต่อสีฟัน

สุขอนามัยช่องปาก มีบทบาทโดยตรงในการป้องกันฟันเหลือง การแปรงฟัน และใช้ไหมขัดฟันไม่เพียงพอ จะทำให้เกิดการสะสมของคราบพลัค (Plaque) ซึ่งจะแข็งตัวจนกลายเป็นหินปูน (Tartar) และเป็นแหล่งดักจับคราบสี การสะสมนี้ ไม่เพียงแต่ทำให้ฟันดูคล้ำลง แต่ยังเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคเหงือก และฟันผุอีกด้วย

การแปรงฟันวันละสองครั้ง ด้วยยาสีฟันผสมฟลูออไรด์ การใช้ไหมขัดฟัน และการขูดหินปูนโดยทันตแพทย์ เป็นประจำ จะช่วยควบคุมคราบพลัคได้ การใช้น้ำยาบ้วนปาก ที่ช่วยลดแบคทีเรีย ยังสามารถส่งเสริมการผลิตน้ำลาย ซึ่งจะช่วยชะล้างเศษอาหาร และลดการเกิดคราบตามธรรมชาติ

พฤติกรรมการดูแลสุขอนามัยช่องปาก ที่ไม่ดี เป็นเวลานาน จะทำให้การแก้ไขปัญหาสีฟัน ทำได้ยากขึ้น การดูแลอย่างสม่ำเสมอ จะช่วยปกป้องเคลือบฟัน ลดการติดคราบสี และรักษาสีฟันให้ดูสว่าง และมีสุขภาพดีขึ้น

วิธีแก้ปัญหาฟันเหลือง ที่ได้รับการยอมรับ

ปัญหาฟันเหลือง สามารถแก้ไขให้ดีขึ้นได้ ด้วยการรักษาโดยทันตแพทย์, ผลิตภัณฑ์ฟอกฟันขาวที่หาซื้อได้ทั่วไป, วิธีดูแลด้วยตนเองที่บ้านอย่างปลอดภัย และกระบวนการทางทันตกรรม เพื่อความงาม แต่ละทางเลือกมีความแตกต่างกัน ในด้านค่าใช้จ่าย ประสิทธิภาพ และผลลัพธ์ในระยะยาว ดังนั้นการเลือกวิธีที่เหมาะสมกับความต้องการ และสุขภาพช่องปากของ แต่ละบุคคล จึงเป็นสิ่งสำคัญ

การฟอกสีฟัน โดยทันตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ

ทันตแพทย์ มักแนะนำการฟอกสีฟันที่คลินิก สำหรับผู้ที่ต้องการเห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจน และรวดเร็ว กระบวนการเหล่านี้ ใช้สารฟอกสีฟันที่มีความเข้มข้นสูง โดยปกติ คือ ไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ (Hydrogen Peroxide) หรือคาร์บาไมด์เปอร์ออกไซด์ (Carbamide Peroxide) ซึ่งจะถูกใช้อยู่ภายใต้การควบคุมดูแลอย่างใกล้ชิด ทันตแพทย์ อาจใช้แสงชนิดพิเศษ หรือเลเซอร์ เพื่อเร่งกระบวนการฟอกสีฟันให้เร็วขึ้น

การฟอกสีฟันโดยผู้เชี่ยวชาญ สามารถทำให้ฟันขาวขึ้นหลายระดับได้ ภายในการรักษาเพียงครั้งเดียว โดยผลลัพธ์ มักจะอยู่ได้นานกว่าการใช้วิธีดูแลด้วยตนเองที่บ้าน โดยเฉพาะเมื่อควบคู่ไปกับการรักษาสุขอนามัยในช่องปากที่ดี

อาจจำเป็นต้องมีการกลับมารักษาซ้ำ ขึ้นอยู่กับพฤติกรรมการรับประทานอาหาร และการใช้ชีวิต การดื่มกาแฟ ชา ไวน์แดง และการสูบบุหรี่ สามารถทำให้คราบสีกลับมาได้ ทันตแพทย์ มักจะให้ถาดฟอกสีฟันเฉพาะบุคคล สำหรับนำกลับไปดูแลต่อที่บ้าน ซึ่งช่วยยืดอายุผลลัพธ์ของการรักษา ในครั้งแรกได้

ผลิตภัณฑ์ฟอกฟันขาว ที่หาซื้อได้ทั่วไป

ยาสีฟันฟอกฟันขาว และแผ่นแปะฟันขาว เป็นผลิตภัณฑ์ที่หาซื้อได้ทั่วไป และเป็นที่นิยมที่สุด ยาสีฟันฟอกฟันขาว มักมีส่วนผสมของสารขัดฟันชนิดอ่อน เบกกิ้งโซดา หรือเปอร์ออกไซด์ในปริมาณเล็กน้อย เพื่อช่วยขจัดคราบบนผิวฟัน แม้ผลลัพธ์อาจไม่ชัดเจนมากนัก แต่ก็สามารถช่วยรักษาระดับความขาวของฟัน หลังจากการฟอกสีฟัน โดยผู้เชี่ยวชาญได้

แผ่นแปะฟันขาว จะส่งเจลเปอร์ออกไซด์ไปยังผิวฟันโดยตรง โดยทั่วไปจะต้องแปะทิ้งไว้ประมาณ 30 นาที ทุกวัน เป็นเวลาหนึ่งถึงสองสัปดาห์ แผ่นแปะ อาจช่วยให้ฟันขาวขึ้นหนึ่งถึงสองระดับ แต่ต้องทำอย่างสม่ำเสมอ จึงจะเห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจน

ชุดฟอกฟันขาวที่บ้าน ซึ่งมาพร้อมถาด และเจลก็มีวางจำหน่ายเช่นกัน ผลิตภัณฑ์เหล่านี้ มีความเข้มข้นน้อยกว่าที่ทันตแพทย์ใช้ แต่ก็ยังสามารถลดความเหลืองของฟันได้ หากใช้อย่างถูกวิธี ผู้ใช้ควรปฏิบัติตามคำแนะนำอย่างเคร่งครัด เพื่อหลีกเลี่ยงการระคายเคืองเหงือก หรืออาการเสียวฟัน

วิธีฟอกฟันขาว ด้วยตนเอง ที่บ้านอย่างปลอดภัย

วิธีทางธรรมชาติบางอย่าง อาจช่วยลดความเหลืองของฟันได้ เมื่อใช้อย่างระมัดระวัง การผสมเบกกิ้งโซดา และไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ให้เป็นเนื้อครีม สามารถใช้เป็นสารฟอกสีฟันอย่างอ่อนได้ มีงานวิจัยชี้ว่า ส่วนผสมนี้ สามารถช่วยขจัดคราบได้ดีขึ้น แต่การใช้บ่อยเกินไป อาจทำลายเคลือบฟันได้

การทำออยล์พูลลิ่งด้วยน้ำมันมะพร้าว (Coconut oil pulling) เป็นอีกวิธีหนึ่ง การอม และกลั้วน้ำมันไว้ในปากประมาณ 10–15 นาที อาจช่วยลดการสะสมของคราบจุลินทรีย์ (Plaque) ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งของสีฟันที่เปลี่ยนไป แม้ว่าหลักฐานทางวิทยาศาสตร์จะยังมีจำกัด แต่วิธีนี้ ถือว่าปลอดภัย หากทำเป็นครั้งคราว

แนวทางอื่นๆ รวมถึงการรับประทานผลไม้ และผักกรอบๆ ที่ช่วยทำความสะอาดผิวฟัน และการได้รับวิตามินซีอย่างเพียงพอ เพื่อส่งเสริมสุขภาพเหงือก แต่วิธีเหล่านี้ ไม่สามารถทดแทนการฟอกสีฟัน โดยผู้เชี่ยวชาญได้ แต่สามารถช่วยรักษาระดับความขาวของฟันไว้ได้

วีเนียร์ (Veneers) และทันตกรรม เพื่อความงามอื่นๆ

เมื่อการฟอกสีฟันเพียงอย่างเดียวไม่ได้ผล ทันตกรรม เพื่อความงาม ก็ยังมีทางเลือกอื่นให้ วีเนียร์พอร์ซเลน (Porcelain veneers) คือ วัสดุบางๆ ที่มีลักษณะคล้ายเปลือกหอย ซึ่งจะถูกยึดติดไว้ที่ด้านหน้าของฟัน เพื่อปิดทับสีฟันที่ไม่สม่ำเสมอ วิธีนี้ ให้ผลลัพธ์ที่ขาวสม่ำเสมอ และคงทน แต่จำเป็นต้องมีการกรอผิวเคลือบฟันออก ทำให้เป็นกระบวนการที่ไม่สามารถย้อนกลับได้

คอมโพสิตวีเนียร์ (Composite veneers) เป็นทางเลือกที่มีค่าใช้จ่ายน้อยกว่า แต่อาจไม่คงทนเท่าพอร์ซเลน วีเนียร์ทั้งสองชนิดสามารถแก้ปัญหาคราบสีที่รุนแรง การสึกกร่อนของเคลือบฟัน หรือสีของเนื้อฟัน (Dentin) ที่เหลืองโดยธรรมชาติ ซึ่งไม่ตอบสนองต่อการฟอกสีฟันได้

ทันตแพทย์ อาจแนะนำการอุดฟัน เพื่อความสวยงาม (Bonding) ซึ่งใช้วัสดุเรซินสี เหมือนฟัน เพื่อปิดทับคราบสี วิธีการเหล่านี้ เป็นการรักษาที่ลุกล้ำมากกว่าการใช้ผลิตภัณฑ์ฟอกฟันขาว แต่สามารถให้ผลลัพธ์ที่ชัดเจนในทันที และคงทน สำหรับผู้ที่ต้องการการแก้ไขอย่างถาวร

การป้องกัน และการดูแลสุขภาพช่องปาก ในระยะยาว

การรักษากิจวัตรการดูแลช่องปากอย่างสม่ำเสมอ การเลือกรับประทานอาหารอย่างระมัดระวัง และการปกป้องเคลือบฟัน เป็นวิธีที่น่าเชื่อถือที่สุด ในการป้องกันฟันเหลืองเมื่อเวลาผ่านไป ขั้นตอนเหล่านี้ ไม่เพียงช่วยส่งเสริมรูปลักษณ์ภายนอก แต่ยังสนับสนุนสุขภาพช่องปากโดยรวม พร้อมทั้งช่วยลดความจำเป็นในการฟอกสีฟันบ่อยครั้ง

กิจวัตรการดูแลสุขอนามัย ในช่องปากประจำวัน

กิจวัตรการดูแลสุขอนามัย ในช่องปาก ที่มีแบบแผน จะช่วยลดการสะสมของคราบพลัค และคราบบนผิวฟัน การแปรงฟันอย่างน้อยวันละสองครั้ง ด้วยยาสีฟันผสมฟลูออไรด์ จะช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงให้เคลือบฟัน และกำจัดเศษอาหาร ที่อาจทำให้สีฟันเปลี่ยนไป ทันตแพทย์หลายท่าน แนะนำให้ใช้แปรงสีฟันไฟฟ้า เนื่องจากมักจะทำความสะอาดได้ทั่วถึงกว่าการแปรงด้วยแปรงธรรมดา

การใช้ไหมขัดฟันวันละครั้ง จะช่วยกำจัดคราบพลัค และเศษอาหารระหว่างซอกฟัน ในบริเวณที่แปรงเข้าไม่ถึง ซึ่งจะช่วยป้องกันการก่อตัวของหินปูน ที่อาจทำให้ฟันดูมีสีคล้ำขึ้น การใช้น้ำยาบ้วนปากที่ไม่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ ก็สามารถช่วยลดแบคทีเรีย และทำให้ลมหายใจสดชื่น โดยไม่ทำให้ปากแห้ง

การตรวจสุขภาพฟันเป็นประจำทุกๆ หกเดือน ช่วยให้สามารถตรวจพบการเกิดคราบ ชันสูตรฟันผุ หรือโรคเหงือกได้ตั้งแต่เนิ่นๆ การขูดหินปูนโดยผู้เชี่ยวชาญ จะช่วยกำจัดคราบพลัคที่แข็งตัว และขัดผิวเคลือบฟัน ทำให้ฟันดูสว่าง และมีสุขภาพดีขึ้น

การปรับเปลี่ยนอาหาร และพฤติกรรมการใช้ชีวิต

อาหาร และเครื่องดื่มบางชนิด ทำให้เกิดคราบบนฟันได้ง่ายกว่าชนิดอื่น กาแฟ ชา ไวน์แดง และน้ำอัดลมสีเข้มเป็นตัวการสำคัญ การจำกัดการบริโภคสิ่งเหล่านี้ หรือบ้วนปากด้วยน้ำเปล่าหลังจากบริโภค จะช่วยลดการเกิดคราบได้ ส่วนอาหารที่มีฤทธิ์เป็นกรด เช่น ผลไม้รสเปรี้ยว สามารถทำให้เคลือบฟันอ่อนแอลง ซึ่งทำให้ฟันเสี่ยงต่อการเปลี่ยนสีได้ง่ายขึ้น

การใช้ยาสูบ เป็นหนึ่งในปัจจัยที่ส่งผลให้ฟันเหลืองมากที่สุด การเลิกสูบบุหรี่ หรือเคี้ยวยาสูบ ไม่เพียงแต่ช่วยปรับปรุงสุขภาพช่องปาก แต่ยังช่วยป้องกันการเกิดคราบฝังแน่นอีกด้วย การดื่มน้ำให้เพียงพอตลอดทั้งวัน จะช่วยกระตุ้นการผลิตน้ำลาย ซึ่งทำหน้าที่ชะล้างเศษอาหาร และลดความเป็นกรดในช่องปากตามธรรมชาติ

การรับประทานอาหารที่สมดุล ซึ่งประกอบด้วยผัก ผลไม้ และอาหารที่อุดม ด้วยแคลเซียม จะช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงของเคลือบฟัน และสุขภาพเหงือก อาหารที่มีความกรอบ เช่น แอปเปิ้ล และแครอท ยังสามารถช่วยทำความสะอาดฟันในเชิงกลไก ขณะเคี้ยวได้อีกด้วย

การปกป้อง และเสริมสร้างความแข็งแรงของเคลือบฟัน

เคลือบฟัน ไม่สามารถสร้างขึ้นใหม่ได้ เมื่อสูญเสียไปแล้ว ดังนั้นการปกป้องเคลือบฟัน จึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง การใช้ยาสีฟัน และน้ำยาบ้วนปาก ผสมฟลูออไรด์ จะช่วยเสริมแร่ธาตุคืนสู่เคลือบฟัน และเพิ่มความต้านทานต่อการสึกกร่อนจากกรด ผู้ที่มีเคลือบฟันบอบบาง อาจได้รับประโยชน์จากยาสีฟันที่ออกแบบมา เพื่อปกป้องเคลือบฟันโดยเฉพาะ

ควรหลีกเลี่ยงการแปรงฟันทันที หลังจากรับประทานอาหารที่มีฤทธิ์เป็นกรด เนื่องจากเคลือบฟันที่อ่อนตัวลง จะสึกหรอได้ง่ายกว่า การรอประมาณ 30 นาที ก่อนแปรงฟัน จะช่วยให้น้ำลายสามารถฟื้นฟูค่าความเป็นกรดด่าง (pH) ให้กลับสู่ระดับที่ปลอดภัยได้

การสวมเฝือกสบฟัน (Night Guard) สามารถป้องกันการสึกหรอของเคลือบฟัน จากการนอนกัดฟันได้ การดื่มน้ำให้เพียงพอ ก็มีบทบาทสำคัญเช่นกัน เนื่องจากน้ำลายทำหน้าที่เป็นเกราะป้องกันตามธรรมชาติต่อกรด และแบคทีเรีย ที่ทำให้เคลือบฟันอ่อนแอลง