ประเด็นสำคัญ
- อาการเลือดออกตามไรฟัน มักเป็นสัญญาณบ่งชี้ถึงปัญหาสุขภาพช่องปาก หรือสุขภาพกายที่ซ่อนอยู่
- การระบุสาเหตุที่แท้จริง จะนำไปสู่การรักษา และการดูแลที่เหมาะสม
- การรักษาสุขอนามัยอย่างสม่ำเสมอ และการตรวจสุขภาพฟันเป็นประจำ จะช่วยลดความเสี่ยงได้
การสังเกตเห็นเลือดออกขณะแปรงฟัน หรือใช้ไหมขัดฟัน อาจเป็นเรื่องน่าตกใจ แต่โดยส่วนใหญ่ มักมีสาเหตุที่ชัดเจน อาการเลือดออกตามไรฟัน มักเป็นสัญญาณของโรคเหงือก สุขอนามัยในช่องปากที่ไม่ดี หรือภาวะสุขภาพบางอย่างที่แฝงอยู่ ซึ่งจำเป็นต้องได้รับการดูแล การจัดการปัญหานี้ ตั้งแต่เนิ่นๆ จะช่วยป้องกันปัญหาร้ายแรง ที่อาจส่งผลกระทบต่อ ทั้งสุขภาพช่องปาก และสุขภาพโดยรวมได้
เหงือกมีเลือดออกได้จากหลายสาเหตุ ตั้งแต่การสะสมของคราบพลัค (Plaque) การขาดวิตามิน หรือแม้แต่ภาวะทางการแพทย์บางประการ แม้ว่าการมีเลือดออกเป็นครั้งคราว อาจดูเหมือนเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่หากมีอาการอย่างต่อเนื่อง ก็ไม่ควรเพิกเฉยอย่างยิ่ง พฤติกรรมง่ายๆ ในชีวิตประจำวัน และการดูแลรักษาฟันอย่างทันท่วงที สามารถสร้างความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญ ในการปกป้องสุขภาพเหงือก
การทำความเข้าใจถึงปัจจัยที่กระตุ้นให้เลือดออกตามไรฟัน และวิธีจัดการกับมัน จะนำไปสู่หนทางของฟันที่แข็งแรงขึ้น และรอยยิ้มที่มั่นใจยิ่งขึ้น ด้วยความรู้ที่ถูกต้อง ทุกคนสามารถปฏิบัติตามขั้นตอนที่ทำได้จริง เพื่อหยุดเลือด และป้องกันไม่ให้กลับมาเป็นซ้ำได้
สารบัญเนื้อหา
1. ทำความเข้าใจภาวะเลือดออกตามไรฟัน
- เลือดออกตามไรฟัน คืออะไร
- ทำไมจึงไม่ควรละเลยอาการเลือดออกตามไรฟัน
- อาการทั่วไปที่พบร่วมกับภาวะเลือดออกตามไรฟัน
2. สาเหตุหลักของอาการเลือดออกตามไรฟัน
- โรคเหงือก และภาวะเหงือกอักเสบ
- การสะสมของคราบจุลินทรีย์ และหินปูน
- พฤติกรรมการดูแลสุขอนามัยช่องปากที่ไม่ดี
3. ปัจจัยร่วมอื่นๆ ที่เป็นสาเหตุ
- การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน และการตั้งครรภ์
- ยาที่ใช้ และยาต้านการแข็งตัวของเลือด
- ภาวะสุขภาพของร่างกายโดยรวม
ทำความเข้าใจภาวะเลือดออกตามไรฟัน
ภาวะเลือดออกตามไรฟัน มักเป็นสัญญาณของการเปลี่ยนแปลงด้านสุขภาพเหงือก ซึ่งอาจมีสาเหตุมาจากการอักเสบ สุขอนามัยช่องปากที่ไม่ดี หรือภาวะทางการแพทย์อื่นๆ ที่ซ่อนอยู่ การระบุสาเหตุได้ตั้งแต่เนิ่นๆ จะช่วยป้องกันปัญหาสุขภาพช่องปากที่รุนแรงยิ่งขึ้น และช่วยรักษาความมั่นคงของฟันในระยะยาว
เลือดออกตามไรฟัน คืออะไร
ภาวะเลือดออกตามไรฟัน เกิดขึ้นเมื่อเนื้อเยื่ออ่อนรอบๆ ฟันเกิดการระคายเคือง หรืออักเสบ และมีเลือดซึมออกมาเล็กน้อย เหตุการณ์นี้ มักเกิดขึ้นระหว่างการแปรงฟัน การใช้ไหมขัดฟัน หรือการรับประทานอาหารที่มีความแข็ง
สาเหตุที่พบบ่อยที่สุด คือ โรคเหงือกอักเสบ (Gingivitis) ซึ่งเป็นระยะเริ่มต้นของโรคเหงือก ที่เกิดจากการสะสมของคราบพลัค (Plaque) หากคราบพลัคไม่ถูกกำจัดออกไป จะแข็งตัวกลายเป็นหินปูน (Tartar) ซึ่งยิ่งสร้างความระคายเคืองต่อเหงือกมากขึ้น
ปัจจัยอื่นๆ ที่อาจเป็นสาเหตุได้เช่นกัน ได้แก่
- การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน (การตั้งครรภ์, วัยแรกรุ่น, วัยหมดประจำเดือน)
- การขาดวิตามิน (โดยเฉพาะวิตามินซี และวิตามินเค)
- ภาวะเลือดแข็งตัวผิดปกติ
- ผลข้างเคียงของยา เช่น ยาละลายลิ่มเลือด
แม้ว่าการมีเลือดออกเพียงเล็กน้อย อาจดูเหมือนไม่เป็นอันตราย แต่มักเป็นสัญญาณบ่งชี้ว่า เนื้อเยื่อเหงือกกำลังอยู่ในภาวะตึงเครียด และต้องการการดูแลเอาใจใส่
ทำไมจึงไม่ควรละเลยอาการเลือดออกตามไรฟัน
เลือดที่ออกอย่างต่อเนื่อง แทบจะไม่ใช่ภาวะปกติ และมักชี้ให้เห็นถึงการอักเสบของเหงือก หรือโรคเหงือกระยะเริ่มต้น หากไม่ได้รับการรักษา อาจลุกลามไปสู่ โรคปริทันต์อักเสบ (Periodontitis) ซึ่งการติดเชื้อ จะแพร่กระจายลึกลงไปในเนื้อเยื่อ และกระดูกที่รองรับฟัน
การละเลยอาการอาจนำไปสู่
- เหงือกร่น
- กลิ่นปากเรื้อรัง
- อาการเจ็บขณะเคี้ยวอาหาร
- ฟันโยก หรือการสูญเสียฟัน
นอกเหนือจากสุขภาพช่องปากแล้ว ภาวะเลือดออกตามไรฟัน อาจเชื่อมโยงกับภาวะเจ็บป่วยอื่นๆ ของร่างกายได้ งานวิจัยพบความเชื่อมโยงระหว่างการอักเสบของเหงือกกับโรคเบาหวาน โรคหัวใจ และหลอดเลือด และความผิดปกติของระบบภูมิคุ้มกัน ด้วยเหตุนี้ การประเมินโดยผู้เชี่ยวชาญ จึงเป็นสิ่งสำคัญ เมื่อเลือดไม่หยุดไหล แม้จะปรับปรุงสุขอนามัยในช่องปากแล้วก็ตาม
แม้การละเลยเพียงช่วงสั้นๆ ก็สามารถทำให้เหงือกไวต่อการกระตุ้นมากขึ้น ซึ่งจะทำให้การฟื้นฟูสุขภาพเหงือก ในภายหลัง ทำได้ยากขึ้น การเข้ารับการดูแลทางทันตกรรม จะช่วยให้มั่นใจได้ว่า สาเหตุที่แท้จริง จะถูกค้นพบ และจัดการก่อนที่จะเกิดภาวะแทรกซ้อน
อาการทั่วไปที่พบร่วมกับภาวะเลือดออกตามไรฟัน
อาการเลือดออก มักไม่เกิดขึ้นเพียงอย่างเดียว แต่จะมาพร้อมกับสัญญาณอื่นๆ ที่บ่งชี้ถึงการอักเสบ หรือการติดเชื้อของเหงือก การตระหนักถึงอาการเหล่านี้ จะช่วยให้ทราบว่า เมื่อใดควรไปพบทันตแพทย์
อาการโดยทั่วไป ได้แก่
- เหงือกบวม หรือเจ็บ
- เหงือกมีสีแดงจัด แทนที่จะเป็นสีชมพูสุขภาพดี
- มีกลิ่นปากตลอดเวลา
- แนวเหงือกร่นลง
- ฟันโยก ในกรณีที่เป็นรุนแรง
บางคนอาจสังเกตเห็นรสชาติคล้ายโลหะในปาก หรือมองเห็นคราบพลัค และหินปูนสะสมอยู่ใกล้ขอบเหงือก
อาการเหล่านี้ บ่งชี้ว่า เนื้อเยื่อเหงือกไม่ได้อยู่ในสภาวะสุขภาพปกติ การตระหนัก และรักษาตั้งแต่เนิ่นๆ สามารถป้องกันการลุกลาม ไปสู่ภาวะสุขภาพช่องปาก ที่รุนแรงยิ่งขึ้นได้
สาเหตุหลักของอาการเลือดออกตามไรฟัน
อาการเลือดออกตามไรฟัน มักเป็นสัญญาณบ่งบอกถึงปัญหาของเนื้อเยื่อที่รองรับฟัน ปัจจัยที่พบบ่อยที่สุด ได้แก่ การติดเชื้อที่เหงือก การสะสมของคราบแบคทีเรีย และพฤติกรรมการดูแลประจำวัน ที่อาจส่งผลดี หรือผลเสียต่อสุขภาพช่องปาก
โรคเหงือก และภาวะเหงือกอักเสบ
ภาวะเหงือกอักเสบ (Gingivitis) คือ ระยะแรกเริ่มของโรคเหงือก และเป็นหนึ่งในสาเหตุที่พบบ่อย ที่สุด ที่ทำให้เหงือกมีเลือดออก เกิดขึ้นเมื่อแบคทีเรียเข้าไปทำให้บริเวณขอบเหงือกระคายเคือง ส่งผลให้เหงือกแดง บวม และอักเสบ ในภาวะเช่นนี้ แม้แต่การแปรงฟัน หรือการใช้ไหมขัดฟันเบาๆ ก็อาจทำให้เลือดออกได้
หากภาวะเหงือกอักเสบ ไม่ได้รับการรักษา ก็สามารถลุกลามไปเป็นโรคปริทันต์อักเสบ (Periodontitis) ซึ่งเป็นโรคเหงือกระยะที่รุนแรงกว่า ในระยะนี้ การอักเสบจะขยายลึกลงไปในเนื้อเยื่อ และกระดูกที่รองรับฟัน ซึ่งอาจนำไปสู่ภาวะเหงือกร่น ฟันโยก และการสูญเสียฟันในที่สุด
ทันตแพทย์ มักวินิจฉัยภาวะเหงือกอักเสบจากสัญญาณทางคลินิก เช่น เหงือกบวม มีเลือดออก เมื่อใช้เครื่องมือตรวจ และการสะสมของคราบจุลินทรีย์ การรักษา มักจะประกอบด้วยการทำความสะอาดโดยผู้เชี่ยวชาญ และการปรับปรุงการดูแลที่บ้าน เพื่อฟื้นฟูสภาพเหงือก ก่อนที่อาการจะแย่ลง
การสะสมของคราบจุลินทรีย์ และหินปูน
คราบจุลินทรีย์ (Plaque) คือ แผ่นฟิล์มเหนียวของแบคทีเรีย ที่ก่อตัวขึ้นบนฟันอย่างต่อเนื่อง หากไม่ถูกกำจัดออกด้วยการแปรงฟัน และใช้ไหมขัดฟันเป็นประจำ คราบนี้จะแข็งตัวกลายเป็นหินปูน (Tartar หรือ Calculus) ซึ่งไม่สามารถกำจัดออกเองได้ที่บ้าน และต้องอาศัยการขูดหินปูน โดยทันตแพทย์เท่านั้น
ทั้งคราบจุลินทรีย์ และหินปูน ต่างก็สร้างความระคายเคืองต่อเหงือก นำไปสู่การอักเสบ และเลือดออก พื้นผิวที่ขรุขระของหินปูน ยังเอื้อให้คราบจุลินทรีย์สะสมได้ง่ายขึ้น ทำให้เกิดวงจรที่ส่งผลเสียต่อสุขภาพเหงือกมากขึ้นเรื่อยๆ
การสะสมของคราบเหล่านี้ โดยไม่รักษาจะเพิ่มความเสี่ยงของโรคปริทันต์อักเสบ การทำความสะอาดฟันโดยทันตแพทย์เป็นประจำ จึงเป็นสิ่งจำเป็น เพราะสามารถกำจัดคราบสะสม ที่การแปรงฟันในแต่ละวัน เข้าไม่ถึงได้ ผู้ป่วยที่ละเลยการดูแล มักจะสังเกตเห็นอาการเลือดออกเรื้อรัง กลิ่นปาก และอาการเจ็บเหงือก
พฤติกรรมการดูแลสุขอนามัยช่องปากที่ไม่ดี
การดูแลสุขอนามัยช่องปาก ที่ไม่สม่ำเสมอ หรือไม่ถูกวิธี เป็นปัจจัยโดยตรงที่ทำให้เลือดออกตามไรฟัน การละเลยการแปรงฟัน หรือการใช้ไหมขัดฟัน จะทำให้คราบจุลินทรีย์ตกค้างอยู่ที่ขอบเหงือก ซึ่งจะสร้างความระคายเคืองต่อเนื้อเยื่อได้อย่างรวดเร็ว นอกจากนี้ การใช้แปรงสีฟันขนแข็ง หรือการแปรงฟันที่รุนแรงเกินไป ก็สามารถทำลายเหงือก และทำให้เลือดออกได้เช่นกัน
การสร้างนิสัยการดูแลที่ดี ในทุกวัน เป็นสิ่งสำคัญในการป้องกัน ทันตแพทย์แนะนำให้แปรงฟันวันละ 2-3 ครั้ง ด้วยแปรงสีฟันขนนุ่ม และใช้ไหมขัดฟันวันละหนึ่งครั้ง การใช้น้ำยาบ้วนปากที่มีฤทธิ์ต้านแบคทีเรีย และการพบทันตแพทย์เป็นประจำ จะช่วยลดการเจริญเติบโตของแบคทีเรียได้ดียิ่งขึ้น
ปัจจัยด้านไลฟ์สไตล์ ก็มีบทบาทเช่นกัน ตัวอย่างเช่น การสูบบุหรี่ ทำให้เนื้อเยื่อเหงือกอ่อนแอลง และลดความสามารถในการฟื้นฟูตัวเอง ทำให้มีโอกาสเลือดออกได้ง่ายขึ้น การดูแลอย่างสม่ำเสมอ และถูกวิธี คือ กุญแจสำคัญในการรักษาสุขภาพเหงือกให้แข็งแรง
ปัจจัยร่วมอื่นๆ ที่เป็นสาเหตุ
อาการเลือดออกตามไรฟัน อาจเป็นผลมาจากสาเหตุอื่น นอกเหนือไปจากการดูแลสุขอนามัยช่องปากที่ไม่ดี หรือโรคเหงือก ปัจจัยต่างๆ เช่น ความผันผวนของฮอร์โมน ยาที่ได้รับตามใบสั่งแพทย์ และภาวะสุขภาพของร่างกายโดยรวม มักมีบทบาทโดยตรงต่อความไวของเหงือก และอาการเลือดออก
การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน และการตั้งครรภ์
การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน สามารถทำให้เนื้อเยื่อเหงือกไวต่อคราบพลัค (Plaque) มากขึ้น ระดับฮอร์โมนเอสโตรเจน และโปรเจสเตอโรน ที่เพิ่มขึ้นในระหว่างตั้งครรภ์ มักทำให้เหงือกบวม และมีเลือดออกได้ง่ายกว่าปกติ ภาวะนี้ บางครั้งเรียกว่า โรคเหงือกอักเสบขณะตั้งครรภ์ (Pregnancy Gingivitis)
การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ มักปรากฏในช่วงไตรมาสที่สองของการตั้งครรภ์ และอาจมีอาการแย่ลง หากการดูแลสุขอนามัยช่องปากไม่สม่ำเสมอ คุณแม่ที่กำลังตั้งครรภ์ อาจสังเกตเห็นอาการเจ็บ แดง หรือเลือดออกตามไรฟันได้ แม้จะแปรงฟัน และใช้ไหมขัดฟันอย่างเบามือ
แนะนำให้เข้ารับการตรวจสุขภาพฟันเป็นประจำ ในระหว่างตั้งครรภ์ ทันตแพทย์ อาจแนะนำให้ขูดหินปูนบ่อยขึ้น เพื่อลดการสะสมของคราบพลัค และการอักเสบ การแปรงฟัน และใช้ไหมขัดฟันทุกวัน ด้วยแปรงสีฟันขนนุ่ม จะช่วยจำกัดการระคายเคืองของเหงือกได้
ยาที่ใช้ และยาต้านการแข็งตัวของเลือด
ยาบางชนิด เพิ่มโอกาสในการเกิดเลือดออกตามไรฟัน ยาต้านการแข็งตัวของเลือด เช่น วาร์ฟาริน (Warfarin) หรือแอสไพริน (Aspirin) จะลดความสามารถในการแข็งตัวของเลือด ดังนั้น แม้เกิดการระคายเคืองเพียงเล็กน้อย ก็อาจทำให้มีเลือดออกอย่างเห็นได้ชัด
ยาอื่นๆ รวมถึงยาลดความดันโลหิต และยากันชักบางชนิด อาจส่งผลให้เกิดภาวะเหงือกโต หรืออักเสบ ซึ่งยิ่งเพิ่มความเสี่ยงให้มีเลือดออกมากขึ้น ผู้ป่วย มักสังเกตว่า เลือดออกตามไรฟันได้ง่ายขึ้น ระหว่างการแปรงฟัน หรือใช้ไหมขัดฟันตามปกติ
เป็นเรื่องสำคัญที่ผู้ที่รับประทานยาเหล่านี้ จะต้องแจ้งให้ทันตแพทย์ทราบ การปรับเปลี่ยนวิธีการดูแลทันตกรรม การใช้อุปกรณ์ทำความสะอาดที่อ่อนโยนขึ้น และการติดตามดูแลโดยผู้เชี่ยวชาญ จะช่วยจัดการกับอาการเลือดออกได้ โดยไม่กระทบต่อการรักษาทางการแพทย์ที่จำเป็น
ภาวะสุขภาพของร่างกายโดยรวม
โรคประจำตัวที่เป็นอยู่ ก็อาจเป็นสาเหตุของเลือดออกตามไรฟันได้เช่นกัน ตัวอย่างเช่น โรคเบาหวาน ซึ่งส่งผลต่อสุขภาพหลอดเลือด และการตอบสนองของภูมิคุ้มกัน ทำให้เหงือกเสี่ยงต่อการติดเชื้อ และมีเลือดออกได้ง่ายขึ้น ระดับน้ำตาลในเลือดที่ควบคุมได้ไม่ดี มักทำให้อาการเหล่านี้ รุนแรงขึ้น
โรคเลือด เช่น โรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว (Leukemia) อาจทำให้มีเลือดออกตามไรฟัน เนื่องจากภาวะเกล็ดเลือดต่ำ และการแข็งตัวของเลือดที่ผิดปกติ ในกรณีเหล่านี้ อาการเลือดออกตามไรฟัน อาจปรากฏร่วมกับอาการอื่นๆ เช่น อ่อนเพลีย ติดเชื้อบ่อย หรือมีรอยฟกช้ำ โดยไม่ทราบสาเหตุ
การขาดสารอาหาร โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การขาดวิตามินซี หรือวิตามินเค สามารถทำให้เนื้อเยื่อเหงือกอ่อนแอ และความสามารถในการแข็งตัวของเลือดลดลง การวินิจฉัย และจัดการกับปัญหาสุขภาพโดยรวมเหล่านี้ กับผู้ให้บริการทางการแพทย์ จึงเป็นสิ่งจำเป็นต่อสุขภาพเหงือก ในระยะยาว
การวินิจฉัย และการดูแลโดยผู้เชี่ยวชาญ
ภาวะเลือดออกตามไรฟัน จำเป็นต้องมีแนวทางการจัดการอย่างเป็นระบบ เพื่อระบุสาเหตุ และกำหนดวิธีการรักษาที่เหมาะสม ทันตแพทย์ และนักทันตสุขภิบาล จะใช้การประเมินทางคลินิก การดูแลเชิงป้องกัน และเทคนิคการทำความสะอาดขั้นสูง เพื่อจัดการกับโรคเหงือก ทั้งในระยะเริ่มต้น และระยะลุกลาม
การตรวจ และประเมินทางทันตกรรม
การตรวจฟันจะเริ่มต้น ด้วยการซักประวัติทางการแพทย์ และทันตกรรมของผู้ป่วย ซึ่งจะช่วยระบุปัจจัยเสี่ยงต่างๆ เช่น การใช้ยา โรคทางระบบ หรือพฤติกรรมการใช้ชีวิต ที่อาจเป็นสาเหตุของเลือดออกตามไรฟัน
จากนั้นทันตแพทย์ จะตรวจดูเหงือก เพื่อมองหาอาการแดง บวม ความลึกของร่องเหงือก และภาวะเหงือกร่น โดยทั่วไปจะมีการใช้เครื่องมือวัด (Probing tools) เพื่อวัดความลึกของร่องเหงือกรอบๆ ฟัน โดยปกติถ้าร่องเหงือกลึกเกิน 3 มิลลิเมตร มักเป็นสัญญาณของโรคเหงือก
อาจมีการถ่ายภาพเอกซเรย์ เพื่อประเมินระดับกระดูก และตรวจหาการติดเชื้อที่ซ่อนอยู่ ในบางกรณี หากสงสัยว่า มีโรคทางระบบเป็นสาเหตุ อาจมีการแนะนำให้ตรวจเลือด หรือส่งต่อ เพื่อรับการรักษากับแพทย์เฉพาะทาง
เป้าหมายของการตรวจ คือ การแยกแยะระหว่างการระคายเคืองชั่วคราว เช่น จากการแปรงฟันแรงเกินไป กับปัญหาเรื้อรัง เช่น โรคเหงือกอักเสบ (Gingivitis) หรือโรคปริทันต์อักเสบ (Periodontitis) การวินิจฉัยที่แม่นยำ จะทำให้การรักษามุ่งตรงไปยังต้นตอของปัญหาได้
บทบาทของนักทันตสุขภิบาล
นักทันตสุขภิบาล (Dental Hygienist) มีบทบาทสำคัญอย่างยิ่ง ในการจัดการกับภาวะเลือดออกตามไรฟัน ผ่านการดูแลเชิงป้องกัน และบำรุงรักษา โดยงานของพวกเขา มักจะมุ่งเน้นไปที่การกำจัดคราบจุลินทรีย์ (plaque) และหินปูน (tartar) ที่การแปรงฟันและใช้ไหมขัดฟันเข้าไม่ถึง
นักทันตสุขภิบาล จะทำความสะอาดฟัน โดยใช้เครื่องขูดหินปูนระบบอัลตราโซนิก (ultrasonic scaler) และเครื่องมือชนิดใช้มือ อุปกรณ์เหล่านี้ จะช่วยกำจัดแบคทีเรียที่สะสมอยู่ตามแนวเหงือก และใต้ขอบเหงือก ซึ่งช่วยลดการอักเสบ นอกจากนี้ ผู้ป่วยจะได้รับคำแนะนำเกี่ยวกับวิธีการแปรงฟัน การใช้ไหมขัดฟัน และการใช้อุปกรณ์ทำความสะอาดซอกฟันที่ถูกต้อง
การให้ความรู้ถือ เป็นส่วนสำคัญในบทบาทของพวกเขา นักทันตสุขภิบาล จะอธิบายว่าอาหาร การสูบบุหรี่ และพฤติกรรมอนามัยช่องปากส่งผลต่อสุขภาพเหงือกอย่างไร และอาจแนะนำผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสม เช่น ยาสีฟันผสมฟลูออไรด์ หรือน้ำยาบ้วนปากที่มีฤทธิ์ต้านจุลชีพ
การพบนักทันตสุขภิบาลอย่างสม่ำเสมอ จะช่วยติดตามสุขภาพเหงือกได้อย่างต่อเนื่อง การดูแลอย่างสม่ำเสมอ สามารถป้องกันไม่ให้โรคเหงือกอักเสบ ที่ไม่รุนแรง ลุกลามไปสู่โรคเหงือก ที่รุนแรงขึ้นได้
การขูดหินปูน และเกลารากฟัน
เมื่อโรคเหงือกลุกลามเกินกว่าระยะเริ่มต้น การขูดหินปูน และเกลารากฟัน (Scaling and Root Planing) จะกลายเป็นสิ่งจำเป็น นี่ คือ กระบวนการทำความสะอาดอย่างล้ำลึก ที่ออกแบบมา เพื่อกำจัดคราบจุลินทรีย์ และหินปูนที่แข็งตัวออกจากบริเวณใต้ขอบเหงือก
การขูดหินปูน (Scaling) คือ การกำจัดคราบต่างๆ ออกจากผิวฟัน ส่วนการเกลารากฟัน (Root Planing) คือ การทำให้ผิวรากฟันเรียบ ซึ่งจะทำให้แบคทีเรียกลับมาเกาะติดได้ยากขึ้น และช่วยให้เหงือกฟื้นฟู และกลับมายึดติดกับฟันได้อีกครั้ง
กระบวนการนี้ อาจต้องใช้ยาชาเฉพาะที่ เพื่อความสบายของผู้ป่วย และอาจทำเสร็จภายในครั้งเดียว หรือแบ่งทำหลายครั้ง ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของโรค
หลังการรักษา ทันตแพทย์ มักจะแนะนำให้กลับมาติดตามผลทุกๆ 3–4 เดือน ในบางกรณี อาจมีการสั่งการรักษาร่วม เช่น ยาปฏิชีวนะ หรือน้ำยาบ้วนปากต้านจุลชีพ เพื่อควบคุมการติดเชื้อ และส่งเสริมการฟื้นฟู
การขูดหินปูน และเกลารากฟัน ไม่สามารถรักษาโรคเหงือกระยะลุกลาม ให้หายขาดได้ แต่จะช่วยควบคุมสภาวะของโรค และป้องกันความเสียหายเพิ่มเติม การดูแลรักษาทางทันตกรรม และสุขอนามัยที่บ้านอย่างสม่ำเสมอ ยังคงเป็นสิ่งจำเป็น เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดี ในระยะยาว
การป้องกัน และการดูแลสุขภาพเหงือกด้วยตนเองที่บ้าน
การรักษาสุขภาพเหงือกให้แข็งแรง จำเป็นต้องอาศัยการดูแลสุขอนามัยในช่องปากอย่างสม่ำเสมอ โภชนาการที่สมดุล และการเข้ารับการดูแลจากผู้เชี่ยวชาญอย่างทันท่วงที การสร้างนิสัยเล็กๆ น้อยๆ ในแต่ละวัน ควบคู่ไปกับมาตรการป้องกัน จะสามารถลดการสะสมของคราบพลัค (Plaque) ลดความเสี่ยงของโรคเหงือก และจำกัดการเกิดปัญหาเลือดออกตามไรฟันได้
เทคนิคการแปรงฟัน และใช้ไหมขัดฟันที่ถูกวิธี
การแปรงฟัน และการใช้ไหมขัดฟัน ถือเป็นรากฐานของการดูแลสุขอนามัย ในช่องปากอย่างมีประสิทธิภาพ การใช้แปรงสีฟันขนนุ่ม จะช่วยทำความสะอาดฟัน โดยไม่ระคายเคืองต่อเนื้อเยื่อเหงือก ทันตแพทย์แนะนำให้แปรงฟันวันละ 2 ครั้ง ด้วยยาสีฟันที่มีฟลูออไรด์ โดยใช้เวลาอย่างน้อย 2 นาที เพื่อให้ครอบคลุมทุกพื้นผิวของฟัน
การใช้ไหมขัดฟันวันละ 1 ครั้ง จะช่วยกำจัดคราบพลัค และเศษอาหารระหว่างซอกฟัน ในบริเวณที่แปรงสีฟันเข้าไม่ถึง เทคนิคที่ถูกต้อง คือ การโค้งไหมขัดฟันรอบตัวฟันอย่างเบามือ แล้วเลื่อนลงไปใต้ขอบเหงือก โดยไม่กระแทก หรือฝืนกดแรงๆ
การใช้น้ำยาบ้วนปาก ที่มีฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรีย อาจช่วยลดจำนวนแบคทีเรีย ที่เป็นสาเหตุของเหงือกอักเสบได้อีกทางหนึ่ง การบ้วนปาก ด้วยไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ชนิดเจือจาง หรือน้ำเกลืออุ่น ยังสามารถช่วยส่งเสริมการฟื้นฟูของเหงือก เมื่อมีเลือดออกเล็กน้อยได้ แต่สิ่งเหล่านี้ ไม่สามารถทดแทนการแปรงฟัน และการใช้ไหมขัดฟันได้
ความสม่ำเสมอ เป็นสิ่งสำคัญที่สุด การละเลยการทำความสะอาด ในแต่ละวัน จะทำให้แบคทีเรียเจริญเติบโต และเพิ่มโอกาสการเกิดโรคเหงือกอักเสบ (Gingivitis) และปัญหาเลือดออกตามไรฟัน
การปรับเปลี่ยนอาหาร และวิถีชีวิต
โภชนาการ ส่งผลโดยตรงต่อสุขภาพเหงือก อาหารที่อุดมไปด้วยวิตามินซี (พบในส้ม พริกหยวก และมันเทศ) ช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงของเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน และสนับสนุนกระบวนการฟื้นฟู ส่วนวิตามินเคที่ได้จากผักใบเขียว จะช่วยให้เลือดแข็งตัวได้อย่างเหมาะสม ซึ่งช่วยลดโอกาสที่เลือดจะออกเป็นเวลานาน
การบริโภคน้ำตาล และคาร์โบไฮเดรตขัดสี ในปริมาณสูง จะกระตุ้นการสะสมของคราบพลัค การจำกัดของหวาน และอาหารแปรรูป จะช่วยลดการเจริญเติบโตของแบคทีเรีย และการระคายเคืองเหงือก การดื่มน้ำเปล่า แทนเครื่องดื่มที่มีน้ำตาล ยังช่วยชะล้างเศษอาหาร และกรดต่างๆ ออกไปได้
การเลือกวิถีชีวิต ก็มีความสำคัญเช่นกัน การสูบบุหรี่ ทำให้ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอลง และชะลอการฟื้นฟูของเหงือก ทำให้มีโอกาสเกิดเลือดออกได้ง่ายขึ้น ความเครียดยังส่งผลต่อการตอบสนองของภูมิคุ้มกันได้ ดังนั้น การจัดการความเครียดผ่านการออกกำลังกาย หรือเทคนิคการผ่อนคลาย จึงอาจช่วยสนับสนุนสุขภาพเหงือกได้ทางอ้อม
ชาเขียว ซึ่งมีสารต้านอนุมูลอิสระตามธรรมชาติ มีความเชื่อมโยงกับการมีสุขภาพปริทันต์ที่ดีขึ้น การดื่มชาเขียว ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของอาหารที่สมดุล อาจช่วยลดการอักเสบในเหงือกได้
การพบทันตแพทย์เป็นประจำ
แม้จะมีการดูแลที่บ้านเป็นอย่างดี การประเมินโดยผู้เชี่ยวชาญ ก็ยังคงเป็นสิ่งจำเป็น ทันตแพทย์ สามารถตรวจพบสัญญาณเริ่มต้นของโรคเหงือกอักเสบ (Gingivitis) หรือโรคปริทันต์อักเสบ (Periodontitis) ได้ ก่อนที่อาการจะรุนแรงขึ้น การทำความสะอาดโดยผู้เชี่ยวชาญ สามารถกำจัดหินปูนที่แข็งตัว ซึ่งการแปรงฟัน และการใช้ไหมขัดฟัน ไม่สามารถกำจัดออกได้
ผู้ป่วยที่มีเลือดออกตามไรฟันบ่อยครั้ง อาจจำเป็นต้องได้รับการขูดหินปูน และการเกลารากฟัน เพื่อทำความสะอาดบริเวณใต้ขอบเหงือก นอกจากนี้ ทันตแพทย์ ยังอาจตรวจหาภาวะขาดวิตามิน หรือภาวะทางการแพทย์อื่นๆ ที่เป็นสาเหตุของเลือดออกตามไรฟันได้
การพบทันตแพทย์เป็นประจำ โดยปกติ คือ ทุกๆ 6 เดือน จะช่วยให้สามารถติดตามดูแลสุขภาพเหงือกได้อย่างต่อเนื่อง สำหรับผู้ที่เป็นโรคเหงือกอยู่แล้ว อาจได้รับคำแนะนำให้มาพบทันตแพทย์บ่อยขึ้น
คำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ จะช่วยให้มั่นใจได้ว่า การดูแลตนเองที่บ้านนั้นมีประสิทธิภาพ และเหมาะสมกับความต้องการของแต่ละบุคคล

