ทำจากไทเทเนียมหรือเซอร์โคเนียม(สีขาว) ซึ่งมีความเข้ากันได้ดีกับร่างกาย เซลล์ของกระดูกจะมายึดกับไทเทเนียม ทำให้เกิดกระบวนการยึดติด หรือที่เรียกว่า “Osseointegration”
พื้นผิวของรากเทียมจะมีการพัฒนาเพื่อส่งเสริมกระบวนการยึดติด(Osseointegration)ให้ดีขึ้น เร็วขึ้น โดยจะมีการเตรียมพื้นผิวด้วยกระบวนการต่างๆ เช่น SLA-Sandblast Large grid -Acidetchโดยจะนำไทเทเนียมมาพ่นทรายและแช่ในกรด ,Anodize-การใช้กระแสไฟฟ้า เพื่อต้องการให้ไทเทเนียมนี้มีรูพรุนและความขรุขระที่พื้นผิวของไทเทเนียม เพื่อส่งเสริมการยึดติดนั่นเอง
โดยเซลล์ของกระดูกที่วิ่งมาพร้อมกับเลือด จะแทรกซึมไปในผิวรากเทียมและสร้างกระดูกยึดจนเป็นเนื้อเดียวกันกับกระดูกขากรรไกรที่เหลือ
รากฟันเทียม(Fixture) มีลักษณะคล้ายสกรูหรือน๊อต เป็นส่วนที่ฝังไปในกระดูกขากรรไกร ทำจากไทเทียมหรือเซอร์โคเนียม เมื่อมีการยึดติดสมบูรณ์แล้วจะมีความแข็งแรงมาก ทำหน้าที่เป็นหลักยึดให้กับส่วนอื่น
Abutment คือ แกน/เดือย ที่ทำจากไทเทเนียม หรือ เซอร์โคเนียม จะยึดติดกับ fixture ด้วยสกรู มีหน้าที่ในการยึดติดระหว่างครอบฟัน สะพานฟัน หรือฟันปลอม กับรากฟันเทียม
Prosthesis คือ ส่วนของครอบฟัน สะพานฟัน หรือฟันปลอมที่ยึดกับ Abutment ทำจากเซรามิค(Porcelain) หรือ Acrylic ทำหน้าที่เป็นที่รับแรงบดเคี้ยว
ทำการรักษาภายใต้ใส่ยาชาเฉพาะที่บริเวณที่จะฝังรากเทียม
ทันตแพทย์จะเปิดเหงือกและกรอกระดูกบริเวณขากรรไกรในตำแหน่งที่ต้องการทดแทนฟันที่สูญเสียไปเพื่อเป็นช่องสำหรับฝังรากเทียมซึ่งทำจากวัสดุไทเทเนียมรูปร่างทรงกระบอก หลังจากนั้นเหงือกตำแหน่งน้ันจะถูกเย็บปิดและรอการเช่ือมของกระดูก กับรากฟันเทียมเป็น ระยะเวลา 2-8 เดือน เมื่อรากเทียมนั้นถูกประเมินว่ามีการประสานกับกระดูกโดยรอบอย่างสมบูรณ์แล้ว เดือยจะถูกต่อขึ้นบนเหงือก เพ่ือรองรับครอบฟันหรือสะพานฟัน หรือฟันเทียมแบบถอดได้ตามแผนการรักษา
1.ทันตแพทย์ให้คำปรึกษาและตรวจฟันคนไข้
ทำการ X-ray Digital 3D CBCT (CT SCAN)
– ทันตแพทย์ประเมินความหนาแน่นกระดูก ตำแหน่งเส้นประสาท ออกแบบกำหนดตำแหน่ง และเลือกขนาดของรากฟันเทียมจาก X-ray Digital 3D CBCT
2.นัดมาผ่าตัดฝังรากฟันเทียม ทันตแพทย์จะฉีดยาชาเฉพาะที่ แล้วทำการผ่าตัดเพื่อฝังไทเทเนียมลงไปในกระดูกขากรรไกร และเย็บปิดแผล
3. 2สัปดาห์หลังจากผ่าตัด คนไข้เข้ามาตัดไหมล้างแผล
4.หลังจากนั้นประมาณ 3 เดือนนัดมาทำตรวจเช็ค ทำการ X-ray Digital 3D CBCTและpanoramic เพื่อเช็คการยึดของรากฟันเทียมกับเนื้อเยื่อ เช็คตำแหน่ง และเช็คความหนาแน่นของกระดูก
5.เมื่อรากฟันเทียมยึดกับเนื้อเยื่อและกระดูกของเราเรียบร้อยแล้ว ทันตแพทย์จะพิมพ์ฟันและทำตัวครอบฟันบนรากฟันเทียม
6.1-2 สัปดาห์ คนไข้กลับมาทำใส่ครอบฟัน
7.คนไข้ต้องกลับมาตรวจสุขภาพฟันและx-Ray ทุก6เดือน
- Conventional implant placement เป็นวิธีการฝังรากฟันเทียมแบบมาตราฐาน
โดยหลังจากถอนฟันอย่างน้อยสามเดือน แพทย์จะทำการตรวจในช่องปาก พร้อมกับเอกซเรย์สามมิติ(CBCT)เพื่อทำการประเมินกระดูกขากรรไกร จากนั้นทำการผ่าตัดเพื่อฝังรากเทียม โดยหลังจากฝังรากฟันเทียมแล้วต้องรอประมาณ 3-6 เดือน เพื่อให้เกิดการยึดติดของรากฟันเทียมและกระดูกอย่างสมบูรณ์ จากนั้นจะทำการพิมพ์ปากเพื่อทำครอบฟัน-ฟันเทียม ขั้นตอนนี้จะใช้เวลาขึ้นกับชนิดของการใส่ฟัน เช่น ถ้าทำครอบฟัน จะใช้เวลาประมาณหนึ่งสัปดาห์ ถ้าทำฟันปลอมยึดรากเทียม อาจจะมีขั้นตอนเพิ่มเติม - Immediate implant placement
เป็นการใส่รากฟันเทียมทันที หลังจากถอนฟันเดิมออก โดยข้อดีของวิธีนี้คือ ลดจำนวนครั้งในการผ่าตัด และลดเวลา ทำให้ได้ฟันที่เร็วขึ้น
การทำimmediate placement สามารถทำได้ทุกบริเวณ แต่ขึ้นกับสภาวะของบริเวณที่รักษา และต้องไม่มีการติดเชื้อที่รุนแรง โดยแพทย์จะเป็นผู้พิจารณาในขั้นตอนการวางแผนว่าสามารถทำได้หรือไม่ - Immediate loaded implant
คือการใส่ฟันทันทีหลังจากที่ใส่รากฟันเทียม ทำให้คนไข้ได้ฟันทันที เช่น การทำ All-on-4 คือการใส่รากเทียมสี่รากพร้อมกับต่อฟันทันที หรือ การใส่รากฟันเทียมฟันหน้าพร้อมทำครอบฟันชั่วคราวทันที
อย่างไรก็ตามวิธีนี้จะมีข้อจำกัด ต้องให้แพทย์ตรวจ ประเมินและวางแผนอย่างใกล้ชิด
ทันตแพทย์สามารถใช้รากฟันเทียมช่วยในการใส่ฟันทดแทนให้คนไข้ได้หลายวิธี
- การทดแทนฟัน 1ซี่ สามารถใส่ได้คือการใส่ฟันถอดได้ เป็นฟันปลอมถามอะคริลิค ฟันปลอมฐานโลหะ ,Removable bridge,Valplast
ถ้าพิจารณาการใส่ฟันติดแน่น ทำได้สองวิธีคือ รากฟันเทียม และสะพานฟัน โดยรากฟันเทียมมีข้อดีกว่าสะพานฟันคือ รากฟันเทียมจะใส่รากไทเทเนียมบริเวณที่ถอนไปเพื่อทดแทน โดยไม่มีกรอฟันข้างเคียง แต่สะพานฟันจะต้องกรอฟันข้างเคียงและส่วนของครอบฟันจะติดแน่นเชื่อมกันระหว่างซี่ทำให้ ยากที่จะทำความสะอาด และถ้ามีปัญหาอาจจะต้องรื้อแก้ทั้งหมด รวมถึงถ้ามีปัญหาอาจทำให้สูญเสียฟันข้างเคียงเพิ่มขี้นด้วย
- การทดแทนฟันหลายซี่
ด้วยรากฟันเทียมสามารถทำได้หลายแบบคือ
1.การใช้รากฟันเทียมเพื่อช่วยยึดฟันปลอม โดยเดิมฟันปลอมที่จะต้องมีตะขอยึดติดกับฟันธรรมชาติ อาจทำให้ฟันธรรมชาติรับแรงงัดและแตกหักได้. การใช้รากฟันเทียมร่วมกับหลักยึดคือlocator ทำให้ไม่ต้องใช้ตะขอ ฟันปลอมจึงติดแน่น แข็งแรง โดยไม่ต้องไปเกี่ยวกับฟันธรรมชาติ
2.การใช้รากฟันเทียมรองรับสะพานฟัน ในกรณีที่สูญเสียฟันหลายๆซี่ติดกัน ทันตแพทย์จะทำรากฟันเทียม เพื่อเป็นหลัก หัวท้าย และ ยึดสะพานฟัน มีข้อดีคือ ลดจำนวนรากฟันเทียมที่ต้องใช้ลง และหลีกเลี่ยงบริเวณที่ไม่สามารถฝังรากเทียมได้
3.การใช้รากฟันเทียมหนึ่งรากแทนฟันหนึ่งซี่ ในกรณีที่กระดูกเพียงพอ และคนไข้มีแรงบดเคี้ยวที่มาก จะทำรากเทียมพร้อมครอบฟันซี่ต่อซี่ ข้อดีคือ มีรากที่รับแรงบดเคี้ยวต่อซี่โดยตรง มีความแข็งแรง
และง่ายต่อการบำรุงรักษา ถ้าในอนาคตมีปัญหาสามารถแก้เป็นซี่ๆไปได้ - การทดแทนฟันทั้งปาก
ในการใช้รากเทียมเพื่อบูรณะทั้งขากรรไกร ทำได้ดังนี้
1.Overdenture การใช้รากเทียมสองรากในขากรรไกรล่าง และสี่รากสำหรับขากรรไกรบน ในการช่วยยึดฟันปลอม โดยจะช่วยให้ฟันปลอมอยู่แน่น เคี้ยวได้ดี และ ฐานฟันปลอมเล็กลง ไม่ต้องคลุมเพดานหรือเหงือกมาก
2.All-on-4 การใช้รากฟันเทียมสี่รากยึดติดแน่นกับฟันปลอม(Hybrid acrylic denture) โดยจะทำทันทีหลังจากผ่าตัดรากฟันเทียม แพทย์จะยึดฟันปลอมที่เตรียมไว้กับรากเทียม ทำให้คนไข้ได้ฟันติดแน่นทันทีหลังจากผ่าตัดรากเทียม
3.Fixed bridge over implants เป็นการผ่าตัดเพื่อฝังรากฟันเทียม สี่รากเพื่อยึดสะพานฟันสิบซี่ ,หกถึงแปดรากเพื่อยึดสะพานฟันสิบสองซี่ โดยฟันที่ได้จะใกล้เคียงกับฟันธรรมชาติ
Digital 3D CBCT (X-ray 3D) โดยหลักๆปัจจุบันนี้ใช้งานหลักๆคือ 3D digital CBCT ในการวางแผนการรักษา โดยสามารถวัดความกว้าง ความยาว ความสูงของกระดูก และระยะต่ออวัยวะสำคัญโดยรอบได้ ทำให้สามารถวางแผนการรักษาได้อย่างแม่นยำและปลอดภัย
ความพิเศษของ CT-Guided Surgery
การทำ computer guided implant คือการใช้คอมพิวเตอร์ช่วยออกแบบจะช่วยลดเวลาในการรักษา และทำให้ตำแหน่งในการฝังรากเทียมมีความแม่นยำสูง โดยแพทย์จะประเมินความหนาแน่นกระดูก ตำแหน่งเส้นประสาทและออกแบบวางแผนจากการเอกซเรย์ 3D CBCT ทำให้สามารถเลือกขนาดรากฟันเทียม และกำหนดตำแหน่งได้อย่างเหมาะสม สอดคล้องกับตำแหน่งฟันที่จะได้ใส่อย่างมีประสิทธิภาพ
ทุกคนที่สูญเสียฟันแท้ไปสามารถใส่รากฟันเทียมได้ อย่างไรก็ตามจะมีข้อกำจัดที่ต้องเตรียมตัวก่อนการรักษาดังนี้ คือ ถ้าคนไข้มีโรคประจำตัว เช่น เบาหวาน หัวใจ ความดัน หอบหืด หรือมีอาการแพ้ เช่น แพ้ยา แพ้โลหะ เป็นต้น ต้องแจ้งแพทย์ก่อน เพื่อแพทย์จะได้ทำการจัดการสภาวะต่างๆให้เหมาะสมแก่การรักษารากฟันเทียม เพื่อให้ได้ประสิทธิผลสูงที่สุด
รากฟันเทียมทำจากไทเทเนียม ซึ่งมีความแข็งแรงมาก อย่างไรก็ตามถึงจะไม่ผุเหมือนฟันธรรมชาติ แต่ก็อาจเกิดโรคเหงือกได้ ดังนั้น รากฟันเทียมต้องได้รรับการดูแลรักษาอย่างสม่ำเสมอ โดยปกติแพทย์จะทำการนัดมาเช็คทุกหกเดือน โดยคุณหมอจะทำการตรวจการสบฟันของรากฟันเทียมกับฟันข้างเคียง และเอกซเรย์ดูกระดูกที่รองรับรากฟันเทียม ตลอดจนทำความสะอาดรากฟันเทียมนั้นๆ การดูแลรักษาอย่างดีและสม่ำเสมอจะทำให้รากฟันเทียมอยู่กับเราไปนานๆค่ะ
โดยปกติผู้ที่เหมาะสมกับการใส่รากฟันเทียมคือ
- ผู้ที่ฟันแตกหัก หรือฟันบิ่น โดยทันตแพทย์วินิจฉัยมาแล้วว่าควรถอนฟันออก ซึ่งเหมาะแก่การผ่ารากฟันเทียมแบบทันทีเพื่อไปทดแทนฟันที่ถูกถอนไป
- ผู้ที่ไม่ต้องการใส่ฟันปลอมถอดได้หรือมีความกังวลเกี่ยวกับการสวมใส่ฟันปลอมชนิดถอดได้
- บุคคลที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป เนื่องจากเด็กจะมีกระดูกขากรรไกรยังเจริญเติบโตไม่เต็มที่
- ผู้ที่มีกระดูกรองรับฟันพอดี โดยขนาด และความหนาของกระดูกจำเป็นที่จะต้องรองรับฟันพอดีเพื่อที่รากเทียมที่เราปลูกไปยืดตัวได้อย่างมั่นคง ไม่หลุดได้ง่าย
- ผู้ที่ตั้งครรภ์ ควรคลอดบุตรก่อน
- ผู้ที่ป่วยเป็นเบาหวาน เนื่องจากผู้ที่เป็นเบาหวาน จะมีน้ำตาลในเลือดที่ค่อนข้างสูง ซึ่งจะส่งผลให้บาดแผลหายช้าหากไม่ได้รับการดูแลที่ดี ก็จะเสี่ยงต่อการอักเสบและติดเชื้อ ซึ่งถือว่าไม่ปลอดภัยในกลุ่มผู้ที่เป็นโรคเบาหวานชนิดที่รุนแรงไม่สามารถควบคุมได้
- ผู้ที่ป่วยเป็นมะเร็งที่ต้องเข้ารับการฉายแสงบริเวณใบหน้าและขากรรไกร เนื่องจากผู้ป่วยที่เป็นมะเร็งที่ต้องเข้ารับการฉายแสง ไม่เหมาะที่จะทำการหัตการใดๆ เพราะอาจจะส่งผลต่ออาการป่วยได้
- ผู้ป่วยที่เป็นโรคกระดูกพรุน เนื่องจากกระดูกไม่แข็งแรง มีความเปราะง่าย และการฝังรางฟันเทียมนั้น จะต้องฝังไปบนกระดูกขากรรไกร ซึ่งอาจจะทำให้กระดูกเกิดอาการเปราะ และทำให้รากฟันเทียมหลุดได้ง่าย หากเข้ารับการรักษาผ่าตัดฝังรากฟันเทียม มีอัตราสูงที่จะทำให้การรักษาเกิดความล้มเหลวนั้นเอง
- ผู้ป่วยที่เป็นโรคปริทันต์อักเสบรุนแรง ผู้ป่วยที่เป็นลูคิเมีย ผู้ป่วยไฮเปอร์ไทรอยด์ควรได้รับการรักษาเพิ่มเติมก่อนทำการฝังรากเทียม
- ผู้ป่วยที่ได้รับยาละลายลิ่มเลือดต้องได้รับคำเห็นชอบจากแพทย์เจ้าของไข้ก่อนรับการรักษา
- ผู้ป่วยจิตเภท ผู้ป่วยที่มีอาการไขข้ออักเสบรุนแรง หรือผู้ป่วยที่มีปัญหาเรื่องการควบคุมการทำงานของกล้ามเนื้อ ไม่สามารถดูแลรักษาสุขภาพช่องปากเองได้ ไม่ควรเข้ารับการทำรากฟันเทียม
ข้อดี
- คนไข้มีความมั่นใจ บุคลิคภาพดูดียิ่งขึ้น
- สามารถใส่ฟันได้โดยไม่ต้องกรอแต่งซี่ข้างเคียง
- ดูแลทำความสะอาดง่ายขึ้น ทำให้สุขภาพอนามัยช่องปากคนไข้ดีขึ้น
- สามารถพูดและออกเสียงได้ชัดเจน
- สามารถรับประทานอาหารที่อยากทานได้ เหมือนได้ฟันธรรมชาติกลับคืนมา
- ลดปัญหาการหลุด หลวม และความวิตกกังวลเกี่ยวกับฟันปลอม
ข้อเสีย
- ราคาค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับการใส่ฟันแบบอื่นๆ
- คนไข้ที่มีภาวะเจริญเติบโต ต้องรอให้ผ่านช่วงนั้นไปก่อน
- เนื่องจากเป็นการผ่าตัดคนไข้ที่มีโรคประจำตัวอาจจะมีข้อจำกัด
- ผู้ที่สูบบุหรี่ หรือ ติดสุราเรื้องรังจะมีผลต่อกระดูกบริเวณรอบรากเทียม อาจะทำให้การรักษาล้มเหลวได้
- ดูแลและทำความสะอาดเป็นประจำทุกวัน โดยการใช้แปรงสีฟัน ไหมขัดฟัน แปรงซอกฟัน
- หมั่นพบทันตแพทย์เป็นประจำทุกหกเดือน
- เลือกทันตแพทย์ที่เชี่ยวชาญและเลือกรากเทียมที่มีคุณภาพ เพื่อผลของการรักษาที่ยั่งยืน
- ทำตามคำแนะนำขอแพทย์อย่างเคร่งครัด
- หลีกเลี่ยงของแข็ง
- สิ่งที่ต้องพิจารณาหลักๆคือ1.รากเทียมทำจากบริษัทที่ได้มาตรฐาน บริษัทมีความมั่นคง อีกทั้งตัวแทนจำหน่ายในไทยเองก็ต้องมั่นคงเช่นกัน เพราะถ้าต้องหาชิ้นส่วนอะไหล่ ในอนาคตเราจะต้องหาได้2.บริษัทที่มีการค้นคว้าและมีผลงานการวิจัยรองรับที่เชื่อถือได้ ทำให้มีการพัฒนารูปแบบให้ดียิ่งๆขึ้น3.คุณภาพของทุกขั้นตอนต้องดี ใช้วัตถุดิบคุณภาพสูงที่เป็น medical gradeยี่ห้อที่สไมล์แอนด์ชายน์ เลือกใช้คือรากฟันเทียมที่มีมาตรฐาน
- “แนวคิดของ สไมล์ แอนด์ ชายน์ เราไม่จำเป็นต้องเลือกสิ่งที่ดีที่สุดในโลกแต่เลือกสิ่งที่เหมาะกับเรามากที่สุดในโลกต่างหาก
- และวิธีที่ดีที่สุดคือปรึกษาคุณหมอ เพื่อจะให้ได้คำตอบที่ดีที่สุดว่า รากเทียมไหนดีที่สุดกับกรณีของแต่ละคน”
- NobelBiocare(Sweden)
- NobelReplace
- NobelActive เหมาะสำหรับเคสที่กระดูกไม่แน่น รากจะออกแบบให้มีความคม สามารถยึดติดกับกระดูกได้ดี เหมาะสำหรับทำimmediate,All-on-4
- Straumann(Switzerland) Straumann มีสี่รุ่นหลักคือ
- Straumann TitaniumSLA
- Straumann Roxolid-มีการเสริม Zirconia(เซอร์โคเนีย) ทำให้เป็น TiZr หรือไทเทเนียมอัลลอยด์ ทำให้รากเทียมมีความแข็งแรงเป็นพิเศษ
- Straumann TiSLActive – เป็นรากเทียมรุ่น TitaniumSLAที่เคลือบ ACTIVE agent ทำให้รากเทียมยึดติดกับกระดูกดีขึ้น เร็วขึ้น เหมาะสำหรับคนไข้ที่มีโรคประจำตัวเช่น เบาหวาน มะเร็ง หัวใจ
- Straumann Roxolid Active – เป็นรากเทียมรุ่นท๊อป คือเป็นรุ่น Roxolid ที่มีความแข็งแรงมากและเคลือบ Active agent ทำให้ยึดติดได้เร็ว
- Cortex(Israel)แบรนด์นี้จะเน้นรากเทียมที่เป็นกลุ่มที่เน้นความคมของราก เพื่อให้ใส่รากเทียมในบริเวณที่มีกระดูกจำกัดได้ และการทำการต่อครอบฟันหลังใส่รากเทียมทันที เพราะเกลียวจะเป็น Active Thread ที่จะเบียดกระดูกทำให้ รากเทียมแน่นทันทีที่ปัก
- Neodent(Brazil) เป็นแบรนด์รองของ Straumann โดย Straumann ไปซื้อแบรนด์นี้มาพัฒนาต่อ มีการใช้เทคโนโลยีของStraumann แต่สาเหตุที่ถูกกว่าเพราะฐานการผลิตอยู่ที่บราซิล
- Neobiotech/dentium/osstem รากเทียมเกาหลี คุณภาพดี ในปัจจุบันมีการใช้มากขึ้น มีการพัฒนาคุณภาพและวัสดุจนไม่น้อยหน้าที่ไหนเลย
- Zirconia implant(Metalfree)-ICX(Germany)
สำหรับคนไข้ที่แพ้โลหะ หรือฟันหน้าที่ต้องการความสวยงามสูง กรณีคนไข้เหงือกบาง เนื่องจากรากเทียมมีสีขาว ทำให้ลดโอกาสที่จะเห็นขอบดำของรากเทียม