คำแนะนำในการเตรียมตัวก่อนรับการฝังรากฟันเทียม

การเตรียมตัวก่อนการทำรากฟันเทียม (หรือการฝังฟันเทียม) จะช่วยให้การรักษามีประสิทธิภาพและลดความเสี่ยงของการเกิดปัญหาภายหลังการฝังฟันเทียมในระยะยาว ดังนี้:

  1. ตรวจสุขภาพ: พบแพทย์เพื่อตรวจสอบสุขภาพรวมและสภาพฟันและเหงือกที่ต้องการฝังฟันเทียม เพื่อให้แน่ใจว่ายังไม่มีการอักเสบ ฟันตกหลุด หรือปัญหาเกี่ยวกับสุขภาพฟันอื่นๆ
  2. ความสะอาดปาก: ต้องมั่นใจว่าปากของคุณสะอาด เพื่อลดความเสี่ยงของการติดเชื้อระหว่างและหลังการฝังฟันเทียม
  3. การแพ้ยา: บอกแพทย์หากคุณมีประวัติการแพ้ยาหรือวัตถุดิบบางอย่าง
  4. รับประทานอาหาร: ในบางกรณี แพทย์อาจแนะนำให้รับประทานอาหารก่อนทำการฝังฟันเทียม เพื่อป้องกันการรู้สึกไม่สบายหลังจากการฝัง
  5. การทานยา: หากคุณทานยาบางประเภทอยู่แล้ว ควรปรึกษาแพทย์ว่าควรหยุดการทานยาหรือปรับปริมาณยาก่อนทำการฝังฟันเทียม
  6. การหยุดสูบบุหรี่: ถ้าคุณเป็นคนสูบบุหรี่ ควรพยายามหยุดสูบเพื่อเพิ่มโอกาสในการรักษาที่ประสบความสำเร็จ
  7. การนอนพัก: แนะนำให้นอนพักให้เพียงพอก่อนวันที่มีการฝังฟันเทียม เนื่องจากการฝังฟันเทียมเป็นกระบวนการทางการแพทย์ที่อาจทำให้คุณรู้สึกเหนื่อยหรือไม่สบาย
  8. การเตรียมความพร้อมทางจิตใจ: รู้สึกตื่นเต้นหรือกังวลก่อนการฝังฟันเทียมเป็นเรื่องปกติ แต่ความรู้สึกดังกล่าวไม่ควรมีผลกระทบต่อการฝังฟันเทียม
  9. การจัดสรรเวลา: การฝังฟันเทียมอาจต้องการเวลาหลังการรักษาเพื่อการฟื้นฟู ดังนั้นควรจัดสรรเวลาให้เพียงพอ
  10. การปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์: หากแพทย์ได้มีการแนะนำเรื่องอื่นๆ เพิ่มเติม ควรปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด

การฝังฟันเทียมเป็นกระบวนการที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพฟันของคุณ ดังนั้นการเตรียมตัวอย่างดีจะช่วยให้กระบวนการฝังฟันเทียมมีประสิทธิภาพและปลอดภัยมากยิ่งขึ้น.

คำแนะนำในการดูแลหลังจากการผ่าตัด

  • อาการที่อาจเกิดขึ้นได้

    • เลือดออก 

      • วันแรกหลังผ่าตัด อาจมีเลือดออกจากบริเวณที่ถอนฟันเล็กน้อยก็นับว่าเป็นเรื่องปกติ และเลือดจะออกลดลง(สามารถกลืนเลือดได้)ภายในหนึ่งวัน (ลักษณะของเลือดที่ไหลไม่หยุดและมีปัญหาคือ เลือดสีแดงสดไหลออกมาอย่างควบคุมไม่ได้ตลอดเวลา แต่ถ้าเลือดซึมๆหรือปนน้ำลายสามารถหยุดโดยการกัดผ้าก๊อซ)
      • กัดผ้าให้แน่นแล้วกลืนน้ำลาย (ห้ามบ้วน)หลังจากถอนฟันหรือผ่าตัด ประมาณ 1ชม.แล้วจึงคายผ้าทิ้ง(พยายามอย่าเปลี่ยนผ้าบ่อยเพราะจะกระตุ้นให้เลือดไหลออกมาอีกได้) หากเลือดยังไม่หยุดให้กัดผ้าใหม่สะอาดอีก 1 ชม. 
      • ถ้าเลือดออกไม่หยุด ห้ามอมน้ำแข็ง ควรใช้น้ำแข็งประคบนอกปาก บริเวณที่ถอนฟัน หรือบริเวณที่ผ่าตัด และกัดผ้าให้แน่นจนกว่าเลือดจะหยุด
    • ปวด

      • ยาชาจะหมดฤทธิ์ประมาณ 1-2 ชั่วโมงหลังการผ่าตัดขึ้นอยู่กับประเภทและปริมาณของยาชาที่ได้รับ
      • ขณะที่ยาชายังคงออกฤทธิ์อยู่ คนไข้ควรระวังเพราะอาจกัดกระพุ้งแก้ม ลิ้นและริมฝีปากของตนได้
      • เมื่อยาชาหมดฤทธิ์อาจมีอาการกรามตึง เปิดปากลำบาก และมีความเจ็บปวดบ้าง ให้ทานยาแก้ปวดร่วมกับการประคบเย็น 72 ชั่วโมงและประคบอุ่นในวันต่อ มา
      • ยาแก้ปวด โดยเฉพาะกลุ่ม NSAIDs เช่น Ibuprofen,ponstan ให้รับประทานหลังอาหารทันทีและหลีกเลี่ยงการทานขณะท้องว่าง
      • รับประทานยาตามที่แพทย์สั่งอย่างเคร่งครัด
    • บวม

      • อาการบวมหลังการทำศัลยกรรมในช่องปากเป็นเรื่องปกติ 
      • อาการบวมจะมากที่สุดในสามวันแรกและจะค่อยๆลดลง
      • สามารถลดอาการบวมได้โดยการประคบเย็น 72 ชั่วโมงแรก (ประคบ 15 นาที เว้น 15 นาที) 
      • ขณะนอนควรยกศีรษะให้สูงโดยหนุนหมอนเพิ่มในช่วง 2 คืนแรกหลังการผ่าตัด
    • กรณีที่มีการเย็บแผล

      • กลับมาตัดไหม 7-14 วัน ตามที่แพทย์กำหนด
      • ห้ามเอานิ้ว ไม้จิ้มฟัน แคะ บริเวณที่เย็บแผล
    • กรณีที่มีการปลูกกระดูกหรือเหงือก

      • อาจจะพบเศษสีขาว ของ grafting material เป็นเรื่องปกติ 
      • หลีกเลี่ยงการกระทบกระเทือนหรือรบกวนบริเวณที่ทำการผ่าตัด
    • กรณีมีการผ่าตัดไซนัสร่วมด้วย

      • อาจมีเลือดออกทางจมูกในช่วงสามวันแรก ให้ซับเบาๆ
      • ห้ามสั่งน้ำมูก ดูดหลอด เป่า หรือกระทำสิ่งที่เกิดแรงดันในช่องจมูก
      • หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่
  • ข้อควรปฏิบัติและดูแลหลังการผ่าตัดในช่องปาก

    • หลีกเลี่ยงการบ้วนน้ำแรงๆ 24 ชั่วโมงแรก
    • หลังจาก 24 ชั่วโมง ให้บ้วนปากด้วยน้ำเกลือ 
    • ใช้แปรงสีฟันทำความสะอาดในช่องปากตามปกติ แต่ระวังแผลที่ถอนฟันหรือผ่าตัด(ใช้แปรงขนนิ่ม หัวแปรงเล็ก หรือ แปรงหลังการผ่าตัด)
    • ห้ามบ้วนน้ำหรือน้ำยาใดๆโดยเด็ดขาด ยกเว้นแต่ยาที่แพทย์สั่ง 
    • ควรทาขี้ผึ้งหรือวาสลีนบนริมฝีปากในช่วง 2 วันแรกหลังการผ่าตัดเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาริมฝีปากแห้งหรือแตกได้
    • ห้ามเอานิ้ว ไม้จิ้มฟัน แคะบริเวณแผล และห้ามดูดแผลเล่น 
    • ทำงานประจำวันได้ แต่อย่าออกกำลังกายเกินควร
    • หลีกเลี่ยงกิจกรรมที่ต้องออกแรงมากในช่วง 24 ชั่วโมงแรกหลังการผ่าตัด 
    • ห้ามดื่มสุรา ของมึนเมา หรือรับประทานอาหารที่เผ็ดจัดหรือร้อนจัด 
    • หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่
    • ถ้ามีอาการบวมหรือรู้สึกมีอาการผิดปกติควรกลับมาพบทันตแพทย์
  •  คำแนะนำในการดูแลหลังการผ่าตัดไซนัส
    • อาจมีเลือดออกทางจมูกในช่วงสามวันแรก ให้ซับเบาๆ
    • ห้ามสั่งน้ำมูก ดูดหลอด เป่า หรือกระทำสิ่งที่เกิดแรงดันในช่องจมูก
    • หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่

ถ้ามีอาการดังกล่าวให้ติดต่อพบแพทย์ทันที

  • เลือดไม่หยุดไหล โดยเลือดเลือดที่ไหลเป็นเลือดสดๆ ที่ออกมาอย่างต่อเนื่องและไม่สามารถคุมโดยการกัดผ้าก๊อซได้
  • อาการปวดอย่างรุนแรงที่ไม่สามารถควบคุมได้ด้วยยาแก้ปวด
  • อาการบวมมากขึ้นเรื่อยๆ
  • มีไข้ เจ็บคออย่างไรแรง
  • มีผื่น หายใจติดขัด

การดูแลและปฏิบัติตนในขณะที่รอรากฟันเทียมยึดติดกับกระดูก

  • กรณีที่แพทย์ปิดด้วย Healing Abutment

    • ในกรณีที่สามารถใส่รากฟันเทียมได้แน่นดี แพทย์จะทำการใส่ healing abutment บนรากฟันเทียมทันที

    • การดูแลรักษาควรทำความสะอาดบริเวณนั้นด้วยแปรงขนนุ่ม เพื่อป้องกันการระคายเคืองหรือทำให้เกิดการบาดเจ็บ

    • ควรหลีกเลี่ยงการเคี้ยวอาหารในบริเวณที่ใส่รากฟันเทียม เพื่อไม่ให้เกิดแรงกดที่อาจส่งผลกระทบต่อกระบวนการยึดรากฟันเทียมกับกระดูก

    • หากพบว่า healing abutment มีการขยับหรือคลอน ควรหลีกเลี่ยงการใช้บริเวณนั้นในการเคี้ยวและรีบติดต่อทันตแพทย์เพื่อให้ทำการขันให้แน่นอีกครั้ง

    • ในกรณีที่ healing abutment ขยับมากหรือหลุดออก ควรเก็บไว้ในกล่องหรือซอง และติดต่อทันตแพทย์เพื่อทำการแก้ไข

  • การเลือกรับประทานอาหารหลังผ่าตัดรากฟันเทียม

    • หลังการผ่าตัด ควรเลือกรับประทานอาหารที่อ่อนนุ่ม เช่น ข้าวต้ม ซุป หรือก๋วยเตี๋ยว เพื่อป้องกันการระคายเคืองต่อบริเวณที่ผ่าตัด และหลีกเลี่ยงอาหารหรือเครื่องดื่มที่มีรสจัดหรือร้อนเกินไป

    • แนะนำให้รับประทานอาหารอ่อน ๆ ในช่วง 14 วันแรกหลังการผ่าตัด เพื่อป้องกันการติดเชื้อ และลดโอกาสเกิดการอักเสบหรือบวมบริเวณที่ผ่าตัด

    • ควรหลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์ในช่วงระยะเวลาฟื้นฟู เพราะแอลกอฮอล์อาจทำให้การฟื้นตัวช้าลงและเพิ่มความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ

    • นอกจากนี้ ควรบ้วนปากด้วยน้ำเกลือหลังรับประทานอาหารทุกมื้อ หรือใช้น้ำยาบ้วนปากที่มีส่วนผสมของคลอเฮกซิดีน (chlorhexidine) ตามคำแนะนำของแพทย์

การดูแลทำความสะอาดหลังจากใส่ฟัน

การดูแลทำความสะอาดหลังการใส่ครอบฟันบนรากฟันเทียมเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อรักษาสุขภาพของเหงือกและฟันเทียม รวมถึงยืดอายุการใช้งานของครอบฟัน คำแนะนำในการดูแลมีดังนี้:

  1. แปรงฟันอย่างสม่ำเสมอ
    ควรแปรงฟันอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง โดยใช้แปรงขนนุ่มและยาสีฟันที่มีฟลูออไรด์ เน้นการทำความสะอาดบริเวณขอบครอบฟันที่ติดกับเหงือก เพราะเป็นจุดที่มีโอกาสสะสมของคราบจุลินทรีย์ได้ง่าย

  2. ใช้ไหมขัดฟันหรือแปรงซอกฟัน
    ใช้ไหมขัดฟันหรือแปรงซอกฟัน (interdental brush) เพื่อทำความสะอาดระหว่างครอบฟันและฟันซี่ข้างเคียงอย่างน้อยวันละครั้ง ลดการสะสมของคราบจุลินทรีย์และแบคทีเรีย

  3. ใช้น้ำยาบ้วนปาก
    น้ำยาบ้วนปากที่มีส่วนผสมของสารต้านเชื้อแบคทีเรียสามารถช่วยลดคราบจุลินทรีย์และป้องกันการอักเสบของเหงือก ควรเลือกใช้น้ำยาบ้วนปากตามคำแนะนำของทันตแพทย์

  4. หลีกเลี่ยงอาหารแข็งและเหนียว
    ควรหลีกเลี่ยงการเคี้ยวอาหารที่แข็งหรือเหนียวมาก เช่น น้ำแข็ง ลูกอมแข็ง หรือหมากฝรั่ง เพราะอาจทำให้ครอบฟันเสียหายหรือหลุดออกได้

  5. เลี่ยงการสูบบุหรี่
    การสูบบุหรี่มีผลเสียต่อสุขภาพช่องปาก ทำให้เกิดการสะสมของคราบและหินปูนได้ง่ายขึ้น รวมถึงเพิ่มความเสี่ยงต่อการอักเสบของเหงือก การสูบบุหรี่จะส่งผลต่อกระดูกบริเวณรอบรากฟันเทียม และทำให้เกิดภาวะการอักเสบรอบรากฟันเทียมได้

  6. ตรวจสุขภาพฟันอย่างสม่ำเสมอ
    ควรเข้าพบทันตแพทย์เพื่อตรวจสอบสุขภาพของรากฟันเทียมและครอบฟันอย่างสม่ำเสมอ เพื่อทำความสะอาดคราบหินปูนที่อาจสะสมอยู่

  7. ระวังการกัดฟันหรือการนอนกัดฟัน
    หากมีนิสัยกัดฟัน ควรปรึกษาทันตแพทย์เพื่อหาวิธีป้องกัน เช่น การใส่เครื่องป้องกันฟัน (night guard) ระหว่างการนอนหลับ เพราะการกัดฟันอาจทำให้ครอบฟันเสียหายได้

 
“คำแนะนำในการเตรียมตัวก่อนรับการฝังรากฟันเทียม: สิ่งที่ควรรู้และปฏิบัติ”

"ขั้นตอนในการเตรียมตัวก่อนฝังรากฟันเทียมเป็นสิ่งสำคัญเพื่อความสำเร็จในการรักษา. คำแนะนำที่จะช่วยในการเตรียมความพร้อมทั้งจิตใจและร่างกายของคุณในบทความนี้."

อ่านเพิ่มเติม
ข้อปฏิบัติหลังผ่าตัดรากฟันเทียม

"คำแนะนำสำหรับการดูแลหลังจากผ่าตัดรากฟันเทียม: วิธีการจัดการกับอาหาร, การลดอาการบวม, และข้อแนะนำเพื่อการฟื้นตัวที่รวดเร็วและปลอดภัย."

อ่านเพิ่มเติม
การดูแลรักษาทำความสะอาด All-on-4,All-on-6

"เรียนรู้วิธีดูแลรักษาและทำความสะอาดรากฟันเทียม All-on-4 และ All-on-6 ให้ถูกต้อง เพื่อรักษาสุขภาพปากและยืนยันว่าฟันเทียมของคุณมีอายุการใช้งานที่ยาวนานและปลอดภัย."

อ่านเพิ่มเติม
การดูแลหลังศัลยกรรมในช่องปาก: การกัดผ้าก๊อซ, การหยุดเลือด, และการปฏิบัติต่างๆ

บทความนี้ หมอจะแนะนำการดูแลหลังจากที่เราได้ทำการศัลยกรรมในช่องปาก ไม่ว่าจะเป็นการถอนฟัน ผ่าฟันคุด ตัดหรือเสริมกระดูก ทำรากฟันเทียม โดย 1.หลังจากที่ทำการรักษาเสร็จเรียบร้อย แพทย์จะทำการเตรียมผ้าก๊อซให้เรากัด ให้คนไข้กัดผ้าก๊อซ นิ่งๆ แน่นๆ กัดผ้า กลืนน้ำลาย ไม่ให้พูดหรือบ้วนน้ำลาย [...]

อ่านเพิ่มเติม

“แนวทางการดูแลและรักษา ‘รากฟันเทียมทั้งปาก’ หรือ ‘allon4’ อย่างถูกวิธี”

เทคนิคที่แนะนำสำหรับการดูแลรักษา ‘รากฟันเทียมทั้งปาก’ และ ‘allon4’ เพื่อให้รักษาความแข็งแรงและยั่งยืนของฟันเทียม.”

เมนูอาหารที่แนะนำหลังทำ รากฟันเทียมทั้งปาก “ALLON4”

หลังจากการทำ “รากฟันเทียมทั้งปาก” หรือ “ALLON4”, การระมัดระวังในการเลือกเมนูอาหารเป็นสิ่งที่สำคัญเพื่อป้องกันความเสียหายและการติดเชื้อของรากฟันเทียม.

ต่อไปนี้คือเมนูอาหารที่แนะนำสำหรับช่วงหลังการทำรากฟันเทียม:

  1. เนื้อนุ่ม: เช่น ซุปไก่, ซุปหมู, หมูสับนุ่ม, ไก่สับนุ่ม หลีกเลี่ยงเนื้อที่มีเส้นเนื้อ
  2. เยลลี่และวุ้น: เช่น เยลลี่ผลไม้, วุ้นเส้น, วุ้นมะพร้าว
  3. อาหารปั่น: เช่น สมูทตี้ผลไม้, นมปั่น
  4. ซุปน้ำใส: ที่ไม่มีมันเยิ้ม
  5. ผักนึ่ง: ให้นึ่งจนนุ่มพอที่จะรับประทานได้โดยไม่ต้องเคี้ยวมาก
  6. ข้าวต้มหรือโจ๊ก: ให้รับประทานในร consistency นุ่มๆ
  7. ไข่: เช่น ไข่ต้ม, ไข่ลาวา, หรือไข่นึ่ง
  8. เต้าหู้นุ่ม: เช่น เต้าหู้ไข่, เต้าหู้น้ำ
  9. โยเกิร์ต: ได้รับประโยชน์จาก probiotics ที่อยู่ในโยเกิร์ต
  10. ผลไม้นึ่งหรือปั่น: เช่น แอปเปิ้ลปั่น, กล้วยนึ่ง

ยิ่งไปกว่านั้น, ควรหลีกเลี่ยงอาหารแข็ง และ คริสปี้ เช่น ขนมที่ทอด, กรอบ, นัทส์, และอาหารที่ต้องเคี้ยวมากในช่วงแรกหลังจากการทำรากฟันเทียม. การรับประทานอาหารนุ่มๆ จะช่วยลดการภาวะอักเสบและเร่งการหายหลังการฝังฟันเทียม.

กระบวนการหายของแผลหลังการถอนฟัน

โดยทั่วไปจะแบ่งออกเป็นระยะ

1. หลังการผ่าตัดหรือถอนฟัน (24 ชั่วโมงแรก)

  • การก่อตัวของลิ่มเลือด: หลังจากที่ฟันถูกถอนออก ลิ่มเลือดจะก่อตัวขึ้นในช่องแผล ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญต่อการหายของแผล ลิ่มเลือดนี้ช่วยปกป้องกระดูกและปลายประสาทในช่องแผล
  • เหงือกเริ่มหดตัวปิด: เนื้อเยื่อเหงือกโดยรอบจะเริ่มหดตัวเพื่อช่วยปิดแผล
  • อาการบวมและเลือดออก: อาการบวมและเลือดออกเล็กน้อยถือเป็นเรื่องปกติในช่วงนี้ การกัดผ้าก๊อซจะช่วยควบคุมการไหลของเลือด

2. สัปดาห์แรก: ระยะการอักเสบ

  • การบวมถึงจุดสูงสุด (วันที่ 2–3): การอักเสบจะเกิดขึ้นเพื่อช่วยทำความสะอาดเศษสิ่งแปลกปลอมและปกป้องแผล ซึ่งเป็นช่วงที่อาการบวมและความไม่สบายตัวจะถึงจุดสูงสุด
  • การก่อตัวของเนื้อเยื่อแกรนูเลชัน: ในวันที่ 4 ลิ่มเลือดจะถูกแทนที่ด้วยเนื้อเยื่อแกรนูเลชัน ซึ่งประกอบด้วยคอลลาเจน เซลล์เม็ดเลือดขาว และหลอดเลือด เนื้อเยื่อนี้จะเป็นฐานสำหรับการเติบโตของเนื้อเยื่อใหม่

3. สัปดาห์ที่ 1–2: ระยะการเพิ่มจำนวนเซลล์

  • การสร้างเซลล์ผิวหนังใหม่: ผิวของเหงือกจะเริ่มสร้างใหม่เมื่อเซลล์ผิวปกคลุมแผล
  • การสร้างกระดูกใหม่: เซลล์สร้างกระดูก (osteoblasts) จะเริ่มสร้างกระดูกใหม่ในช่องแผล ซึ่งกระบวนการนี้เริ่มตั้งแต่สัปดาห์แรกและจะดำเนินต่อไปอีกหลายเดือน

4. สัปดาห์ที่ 2–4: ระยะการเจริญเติบโตของเนื้อเยื่อ

  • การเสริมสร้างเนื้อเยื่อ: ช่องแผลจะค่อยๆ เติมเต็มด้วยเนื้อเยื่อใหม่ และเนื้อเยื่อเหงือกจะแข็งแรงขึ้น
  • การปรับโครงสร้างของกระดูก: การสร้างกระดูกใหม่จะดำเนินต่อไป และเหงือกจะมีลักษณะที่เรียบเนียนขึ้น ความเสี่ยงของภาวะกระดูกแห้ง (alveolar osteitis) จะลดลงอย่างมากหลังจากสัปดาห์ที่สอง

5. ระยะ 1–6 เดือน: การสร้างกระดูก

  • การสร้างกระดูกสมบูรณ์: ในช่วงหลายเดือน ช่องแผลจะเต็มไปด้วยกระดูกใหม่ แต่กระบวนการสร้างกระดูกและการปรับตัวสมบูรณ์อาจใช้เวลา 6–12 เดือน

สิ่งที่ควรพิจารณาระหว่างการฟื้นตัว:

  • หลีกเลี่ยงภาวะกระดูกแห้ง: ภาวะกระดูกแห้งสามารถเกิดขึ้นได้หากลิ่มเลือดหลุดออก ซึ่งจะทำให้เกิดความเจ็บปวดและทำให้การรักษาล่าช้า หลีกเลี่ยงการดื่มผ่านหลอด การสูบบุหรี่ หรือการบ้วนปากแรงๆ ในช่วง 2-3 วันแรก
  • รักษาสุขอนามัยในช่องปาก: การทำความสะอาดเบาๆ รอบแผลมีความสำคัญในการป้องกันการติดเชื้อ
  • การจัดการความเจ็บปวด: การใช้ยาแก้ปวดที่ซื้อได้ทั่วไปหรือยาที่แพทย์สั่ง รวมถึงการประคบเย็น สามารถช่วยบรรเทาอาการไม่สบายในช่วง 2-3 วันแรกได้

สัญญาณของภาวะแทรกซ้อน:

  • เลือดออกมากเกินไป: การมีเลือดออกอย่างต่อเนื่องหรือมากเกินไปหลัง 24 ชั่วโมง
  • การติดเชื้อ: หนอง อาการบวมมากเกินไป หรือมีกลิ่น/รสที่ไม่ดีในปาก
  • ภาวะกระดูกแห้ง: อาการเจ็บปวดอย่างรุนแรงที่เริ่มต้นในอีกไม่กี่วันหลังการถอนฟัน มักแผ่ไปยังหูหรือส่วนอื่นๆ ของใบหน้า